เลือกสีตามสไลต์ที่คุณชอบ:
SaveOurSea.NET  

กลับไป   SaveOurSea.NET > สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม

 
 
Share คำสั่งเพิ่มเติม เรียบเรียงคำตอบ
Prev คำตอบที่แล้วมา   คำตอบถัดไป Next
  #3  
เก่า 30-07-2023
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,809
Default

ขอบคุณข่าวจาก ผู้จัดการ


จบยุค Global Warming เพราะ "ยุค Global Boiling" มาถึงแล้ว!! .......... โดย วีระศักดิ์ โควสุรัตน์


กรกฎาคม 2023 ถูกกำหนดให้เป็นเดือนที่ร้อนที่สุดเป็นประวัติการณ์ - และน่าจะอยู่ในรอบ 120,000 ปี (ในภาพ) นักผจญเพลิงจัดการกับเปลวเพลิงในเมืองโรดส์ ชายคนหนึ่งแช่ตัวในน้ำในซาเกร็บ ประเทศโครเอเชีย ที่อุณหภูมิสูงถึง 40 องศาเซลเซียส รถบัสถูกน้ำท่วมฉับพลันในโอซอง เกาหลีใต้ และกราฟแสดงการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิโลก (เครดิตภาพ : epa/เอพี)

เมื่อไม่ถึง 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา เลขาธิการสหประชาชาติ ออกแถลงประโยคที่น่าตกใจข้างต้นให้ชาวโลกรับรู้ผ่านคณะสื่อมวลชน หลังจากคณะนักวิทยาศาสตร์สากลจากทวีปต่างๆทั่วโลกยืนยันตรงกันแล้วว่า

เดือนกรกฎาคมของปี 2023 นี้ สถานีตรวจวัดอุณหภูมิในทุกทวีปราว 2 หมื่นสถานี และจากทุ่นตรวจวัดอุณหภูมิในมหาสมุทรต่างๆทั่วโลก ตลอดจนจากดาวเทียมตรวจอากาศที่บันทึกอุณหภูมิผิวโลกตามจุดต่างๆยืนยันว่า กรกฏาคมปีนี้ เป็นช่วงฤดูร้อนที่ "ร้อนสุดเป็นประวัติการณ์ของมนุษยชาติ" แล้ว นับแต่มนุษย์เคยมีการบันทึกมา!

นายแอนโธนิโอ กุยเตอเรส เลขาธิการสหประชาชาติชี้ว่า ทั้งหมดนี้ เกิดจากการกระทำของมนุษย์ การพัฒนาที่ไม่ยั่งยืน เรารอให้ใครอื่นทำการแก้ไขให้เราไม่ได้อีกแล้ว เพราะสิ่งที่บรรดาผู้นำของภาคส่วนต่างๆที่เคยรับปากจะทำนั่นเปลี่ยนนี่ ก็ยังไปได้ไม่ไกลพอ และไม่นำไปสู่ความเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้นเพียงพอ ต่อสภาวะภูมิอากาศของโลก

นักวิทยาศาสตร์ที่ติดตามผลกระทบจากสภาพภูมิอากาศเปลี่ยนแปลง ในสาขาต่างๆได้ชี้ไปในทางเดียวกันว่า รังสีความร้อนจากแสงอาทิตย์ที่ถูกก๊าซเรือนกระจกที่มนุษย์ปลดปล่อยออกมา ได้กักเอาความร้อนที่ควรสะท้อนกลับออกไปสู่อวกาศให้คงค้างไว้บนชั้นบรรยากาศโลกมากขึ้นเรื่อยๆ จนสภาพภูมิอากาศของโลกปั่นป่วน (Climate Crisis)

ปีนี้มหาสมุทรใหญ่ของโลกได้เข้าสู่ช่วงเอลนินโญ่ และคลื่นความร้อนจัดก็ขยับขยายไปท่วมทับยุโรปและอเมริกาเหนือ จนไล่ดับไฟป่ากันไม่ทัน มีผู้คนที่เจ็บป่วยเพราะร่างกายระบายความร้อนไม่ทันจนถึงกับเสียชีวิตมากขึ้นอีกด้วย

จากยุคที่เรียกว่า "ภาวะโลกร้อน"(Global Warming)ที่มีกราฟแสดงการไต่ขึ้นมาเรื่อยๆของอุณหภูมิในพื้นที่ต่างๆ ทีละขีดซึ่งมนุษย์เคยแค่บ่นๆว่าหน้าร้อนปีนี้ ดูจะร้อนกว่าปีก่อนหน้า

แต่บัดนี้ เราได้เข้าถึงจุดที่จะได้เห็นความเปลี่ยนไปของสรรพสิ่งในระบบนิเวศน์ในระดับที่ประวัติศาสตร์มนุษย์ยังไม่เคยประสบเจอ

เหมือนไม้กระดกได้กระดิกพลิกเปลี่ยนไปอีกข้างของน้ำหนักแล้วนั่นแหละ

มันคืออุณหภูมิของคลื่นความร้อนที่จะทำให้พืชบางระดับ บางสายพันธุ์หยุดเจริญเติบโต หยุดผลิดอกออกผล ซึ่งแปลว่าเข้าสู่ภาวะไม่สืบทอดสายพันธุ์ของตัวมันเอง แปลว่ามันจะแก่ตัวตายไปแบบไม่มีทายาท

มันคือรูปแบบภูมิอากาศที่จะผิดเพี้ยนไปจนกลายเป็นความปกติใหม่ ที่อาจจะมีวันร้ายมากกว่าวันอากาศดี มันคือการมาถึงของภัยธรรมชาติถี่ๆในสารพัดบริเวณ

มันคืออุณหภูมิที่จะทำให้แมลงหลายชนิด อพยพ หรือขยายเขตทำมาหากินรุกเข้าไปในดินแดนใหม่ๆที่เคยหนาวเย็นจนมันเคยทนไม่ได้ แปลว่าเชื้อจุลินทรีย์หลายอย่าง เชื้อโรคหลายชนิดจะเดินทางได้ไกลขึ้น โรคระบาดเขตร้อนจะลามเข้าไประบาดในเขตที่เคยหนาวเย็นได้ถนัดขึ้น

น้ำแข็งที่เคยคลุมพื้นดินบางเขตจะละลายจนเปิดออกปล่อยให้เชื้อราหรือเชื้อโรคแปลกๆที่เคยหายสาปสูญไปนับหมื่นนับแสนปีผุดขึ้นมาขยายพันธ์ได้ใหม่

สัตว์น้ำที่เคยหากินกันอยู่ที่ผิวน้ำในระดับตื้น จำต้องมุดลงน้ำลึกบ่อยขึ้น ทั้งที่จะมีสารอาหารให้มันเลือกกินได้น้อยลง เพราะอุณหภูมิที่ผิวน้ำ ร้อนเกินกว่าที่มันจะทนอยู่กันได้ หลายพันธุ์จะสาบสูญ

การประมงทั้งน้ำจืด และประมงทะเลทั่วโลกจะประสบปัญหาการหาสัตว์น้ำได้ยากยิ่งขึ้น

ในเมื่อโปรตีนแหล่งใหญ่ที่สุดที่มนุษย์อาศัยมาตลอดกว่าพันปีคือสัตว์น้ำ ผลของมันจึงนำไปสู่ภาวะการขาดสารโปรตีนต่อครอบครัวส่วนใหญ่บนโลกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

การปศุสัตว์จะเดือดร้อนเพราะฝนทิ้งช่วง วันฝนมาก็มามากจนท่วมท้นดินถล่ม วันที่ขาดฝนก็แล้งจนไม่มีน้ำมาทำการเกษตรที่เคยปลูกไว้เป็นอาหารปศุสัตว์

ในขณะที่ปศุสัตว์เองก็เป็นผู้ปล่อยก๊าซที่มีฤทธิ์ร้ายแรงต่อภาวะเรือนกระจกกว่า20เท่าของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ นั่นคือก๊าซมีเทนจากสัตว์ ปศุสัตว์ที่ขยายตัวอย่างไม่หยุดยั้งคือปัจจัยเร่งการปลูกพืชไร่เชิงเดี่ยว ที่ใช้ทั้งปุ๋ยเคมีและฉีดพ่นสารเคมีป้องกันศัตรูพืชอย่างมากมาย ทำร้ายทั้งผึ้งและผีเสื้อที่มีหน้าที่ผสมเกสรดอกไม้ทั้งโลกให้ผลิดอกออกเป็นผล พืชไร่เลี้ยงสัตว์นี่เองที่เร่งการบุกรุกทำลายทั้งป่าธรรมชาติและแหล่งน้ำสะอาดตามที่ต่างๆในทุกทวีป

ภาคพลังงานฟอสซิล น้ำมัน ถ่านหิน และการขนส่งสารพัด กองขยะที่หมักหมมรอย่อยสลายมากมาย การผลิตสิ่งทอแบบ Fast Fashion ที่ทำให้สินค้าแฟชั่นตกเทรนต์ไวๆเพื่อให้ผู้คนกลัวเชย จึงหันมาซื้อของใหม่ใส่โดยไม่จำเป็นก็ล้วนมีส่วนเป็นผู้ปล่อยก๊าซเรือนกระจกตัวสำคัญ

ภาวะโลกเดือด (Global Boiling)จะทำให้โรคระบาดสัตว์ยิ่งอาละวาดได้มากขึ้น ภูมิคุ้มกันทั้งในสัตว์และคนจะลดลงจากภาวะ ฮีทสโตรก หรือภัยจากคลื่นความร้อนที่มีความชื้นสูงจนเหงื่อไม่ระเหยได้มากขึ้น ร่างกายของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมจะระบายความร้อนไม่ทัน ระบบร่างกายจะอ่อนเพลีย พักผ่อนนอนก็ไม่สนิท กินอาหารก็แทบไม่ลง อวัยวะต่างๆทำงานไม่ได้เหมือนภาวะปกติ

เพราะแม้แต่เวลากลางคืน อากาศในหลายภูมิภาคก็จะร้อนอ้าวจนเกินจะนอนได้

ในสหรัฐ ทำเนียบขาวออกประกาศมาตรการคุ้มครองแรงงานจากการต้องทนทำงานท่ามกลางคลื่นความร้อน

ความร้อนของมหาสมุทรจะทำให้เกิดการระเหยของน้ำเร็วขึ้น นำไปสู่ฝนพันปีตกในย่านที่มีทิศทางลมพาไปบ่อยขึ้น น้ำจึงท่วมท้นในบางจุด และในจุดที่ลมพัดความชื้นเข้าไปไม่ถึงก็จะแล้งอย่างหนักหน่วงและยาวนานขึ้น

ไฟในป่าของพื้นที่นั้นจะดับยาก และจุดติดง่ายยิ่งขึ้น เพราะอากาศแห้งจัด ภัยแล้งจะทำให้ชาวโลกเร่งกักสายน้ำสารพัดไว้จนน้ำไม่เคลื่อนที่อย่างเดิมๆ ความขัดแย้งแก่งแย่งน้ำดิบจะนำไปสู่การทะเลาะเบาะแว้งของมนุษย์ ทั้งข้ามภูมิภาค และข้ามประเทศอย่างง่ายดาย

สงครามจึงปะทุขึ้นได้ง่ายยิ่งกว่าเดิม

อุดมการณ์และรูปแบบการปกครองจะถูกใช้เป็นข้ออ้างในการโจมตีกันไปมาโดยไม่จำเป็นและแก้ไขอะไรไม่ได้


ทางออกที่แท้จริงของเราแต่ละคนคือ

1.การค้นหาความรอบรู้เกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม อย่างต่อเนื่อง

2.การฝึกฝนทักษะในการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมตัวเองทั้งในการบริโภคและการใช้ชีวิต

3.การชักชวนให้ครอบครัวและชุมชนต่างๆร่วมเปลี่ยนแปลงในสเกลที่กว้างใหญ่ขึ้น สนใจดูแลกันและกันมากขึ้น

ถ้ามนุษย์ในสังคมมีความเข้าใจในระบบนิเวศน์ดีขึ้น ความเห็นต่างจะลดลง เพราะวิทยาศาสตร์จะพาให้เข้าหาความจริง ไม่ใช่ความเห็น

4. รัฐเองก็พึงขจัดการผูกขาดตัดตอน และขยับการเกษตรตลอดจนการอุตสาหกรรมที่ไม่ยั่งยืน ให้ก้าวไปสู่การจัดการที่ยั่งยืน และมีธรรมาภิบาลที่ดีทั้งในระบบรัฐ ระบบสังคม ระบบเศรษฐกิจ ธุรกิจและระบบคุ้มครองสิ่งแวดล้อม

5. ประเทศผู้มีรายได้สูง ซึ่งมักมีประวัติในการฉกฉวยทรัพยากรธรรมชาติจากชาติที่อ่อนแอกว่ามาตลอดยุคอุตสาหกรรม คือใน200ปีที่ผ่านมา ต้องช่วยแบกรับค่าใช้จ่าย และถ่ายทอดพลังความเปลี่ยนแปลงที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมให้ชาติที่เปราะบางทั้งหลายต่อภาวะโลกเดือดนี้โดยเร่งด่วน

ไม่ว่าจะเป็นรัฐหมู่เกาะเล็กๆ ที่กำลังจะถูกน้ำทะเลยกระดับเข้าท่วมมิด รัฐที่กำลังขาดแคลนพลังเศรษฐกิจในการเปลี่ยนแปลงสู่ความยั่งยืน หรืออย่างน้อยก็มีกองทุนช่วยการเตรียมรับภัยพิบัติทางธรรมชาติให้ได้ประสิทธิภาพขึ้น ไม่ว่าจากน้ำทะเลท่วมเข้าแผ่นดิน น้ำจืดขาด อาหารแพง โรคใหม่ระบาด อากาศหายใจไม่สะดวก หรือภัยจากความร้อนตรงๆ

"ภาวะโลกเดือด" เริ่มขึ้นแล้ว

"น้ำแข็งละลายเริ่มกลายเป็นน้ำไหล สิ่งมีชีวิตหลายประเภทในช่วงก่อนยุคน้ำแข็งพวกนี้จะทยอยฟื้นและไหลตามชั้นน้ำที่ละลายออกมาอาละวาดต่อไปละครับ"

อยู่ที่ว่า เราทุกๆคนจะเริ่มจริงจังกับเรื่องนี้ ก่อนเจอวิบากกรรมครั้งใหญ่กันได้ทันหรือไม่ เท่านั้นเอง


https://mgronline.com/greeninnovatio.../9660000068385


******************************************************************************************************


ฮือฮา! ปรากฏการณ์ขี้วาฬหาดตาแหวนเกาะล้าน เปลี่ยนสีน้ำทะเลกลายเป็นสีเขียว

โซเชียลฯ แห่แชร์ปรากฏการณ์ขี้วาฬ หรือแพลงก์ตอนบลูม เผยเกิดจากน้ำเสียจากชุมชนลงสู่ทะเลจนทำให้แพลงก์ตอนได้รับสารอาหารและเกิดการเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว ด้านผู้เชี่ยวชาญชี้ไม่อันตรายสำหรับคน เพียง 4-7 วันก็จะกลับเข้าสู่ภาวะปกติ



วันนี้ (29 ก.ค.) เพจ "เรารักพัทยา" ได้มีการแชร์ภาพจากผู้ใช้เฟซบุ๊ก Sky Kuakun ซึ่งโพสต์ภาพน้ำทะเลเกาะล้านกลายเป็นสีเขียว พร้อมติดแฮชแท็ก #unseenkohlarn โดยระบุข้อความว่า ?แพลงก์ตอนบลูมหรือขี้วาฬ บุกทะเลเกาะล้าน กลายเป็นสีเขียวไปแล้ว พิกัดหาดตาแหวน

ทั้งนี้ ได้มีชาวเน็ตอีกรายให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า "เกิดบ่อยช่วงหน้าฝน น้ำฝนน้ำท่อ ระบายลงทะเล แพลงก์ตอนสาหร่ายมันชอบ เหมือนให้อาหารมัน เลยโตไว ขยายพันธุ์เยอะเลยเป็นสีเขียว จะมีกลิ่นคาวสาหร่ายหน่อย มันแย่งออกซิเจนในน้ำ ทำให้ปลาที่เข้าไปแถวนั้นตาย แต่ไม่อันตรายต่อคน 3-4 วันก็หายปกติ คนพื้นที่ชอบเรียกขี้วาฬ"

อย่างไรก็ตาม ปรากฏการณ์ขี้วาฬ หรือ แพลงก์ตอนบลูม เป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติที่เกิดขึ้นทุกปี โดยมีสาเหตุสำคัญมาจากการปล่อยน้ำเสียจากชุมชนลงสู่ทะเลจนทำให้แพลงก์ตอนได้รับสารอาหารและเกิดการเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว และเมื่อออกซิเจนในน้ำทะเลหมดลง แพลงก์ตอนก็จะตายจนทำให้น้ำทะเลกลายเป็นสีเขียว หรืออาจเป็นช่วงที่เปลี่ยนฤดูจึงเกิดปรากฏการณ์ดังกล่าวขึ้น ด้านผู้เชี่ยวชาญระบุว่าน้ำทะเลเปลี่ยนสีเขียวหรือแพลงก์ตอนบลูม ไม่เป็นอันตรายต่อผู้ที่ลงเล่นน้ำทะเล เพียงแต่ทำให้นักท่องเที่ยวไม่กล้าลงเล่นน้ำเนื่องจากบางจุดจะมีกลิ่นเหม็นคาวรุนแรง และทำให้หวั่นว่าจะเกิดผลกระทบต่อผิวหนัง หากบางคนผิวแพ้ง่ายก็อาจทำให้มีผื่นคันได้ อย่างไรก็ตาม ปรากฏการณ์ดังกล่าวคาดว่าหากมีลมทะเลพัดแรงเพียง 4-7 วันก็จะกลับเข้าสู่ภาวะปกติ


https://mgronline.com/onlinesection/.../9660000068398

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
 


กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 04:22


vBulletin รุ่น 3.8.10
สงวนลิขสิทธิ์ ©2000-2025, บริษัท Jelsoft Enterprises จำกัด
Ad Management plugin by RedTyger