เลือกสีตามสไลต์ที่คุณชอบ:
SaveOurSea.NET  

กลับไป   SaveOurSea.NET > สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม

ตอบ
 
Share คำสั่งเพิ่มเติม เรียบเรียงคำตอบ
  #1  
เก่า 30-08-2023
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,809
Default

ขอบคุณข่าวจาก ไทยรัฐ


วิธีการปล่อย "สัตว์น้ำ" ไม่ให้ทำลายระบบนิเวศ เพิ่มความอุดมสมบูรณ์ให้สิ่งแวดล้อม

- สถานการณ์การแพร่พันธุ์ของ "สัตว์น้ำต่างถิ่น" หรือ "เอเลี่ยนสปีชีส์" ยังคงส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศแหล่งน้ำของประเทศไทยเป็นอย่างมาก

- รู้จัก "เอเลี่ยนสปีชีส์" 13 ชนิด ห้ามนำเข้าประเทศไทย

- แนะนำวิธีการปล่อย "พันธุ์ปลาไทย" ที่ไม่ทำลายระบบนิเวศ




กลายเป็นอีกหนึ่งปัญหาของสิ่งแวดล้อมนั่นก็คือสถานการณ์การแพร่พันธุ์ของ "สัตว์น้ำต่างถิ่น" หรือที่ใครหลายคนเรียกว่า เอเลี่ยนสปีชีส์ (Alien Species) ที่ยังคงส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศแหล่งน้ำของประเทศไทยเป็นอย่างมาก เนื่องจากสัตว์น้ำต่างถิ่นเหล่านี้ขยายพันธุ์อย่างรวดเร็ว สามารถอยู่ได้ในเกือบทุกระบบนิเวศ จนรุกรานสัตว์พื้นถิ่น ทำให้สัตว์พื้นถิ่นมีน้อยลงจนอาจสูญพันธุ์

โดยในช่วงวันสำคัญทางศาสนาและเทศกาลพิเศษต่างๆ พุทธศาสนิกชนมักนิยมทำบุญด้วยการปล่อยพันธุ์สัตว์น้ำกันเป็นจำนวนมาก เพราะเชื่อว่าจะเป็นการสร้างบุญกุศลครั้งใหญ่ และเสริมสิริมงคลให้แก่ชีวิต

แต่เนื่องจากสัตว์น้ำที่เลือกปล่อยบางชนิดถูกปล่อยด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ว่าเป็น "สายพันธุ์ต่างถิ่น" อาทิ ปลาซักเกอร์, ปลาดุกบิ๊กอุย, เต่าญี่ปุ่น หรือเต่าแก้มแดง, ตะพาบไต้หวัน ฯลฯ ส่งผลให้สัตว์น้ำเหล่านี้เมื่อปล่อยลงสู่แหล่งน้ำสาธารณะแล้วจะรุกรานพันธุ์สัตว์น้ำพื้นถิ่นของไทย จนทำให้บางชนิดอยู่ในสถานะเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์ รวมทั้งยังทำลายระบบนิเวศทางธรรมชาติอีกด้วย


13 เอเลี่ยนสปีชีส์ ห้ามนำเข้าไทย

ก่อนหน้านี้ กรมประมง เคยเผยแพร่ประกาศราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 27 พ.ค. พ.ศ.2564 เรื่องกำหนดชนิดสัตว์น้ำที่ห้ามเพาะเลี้ยงในราชอาณาจักร พ.ศ.2564 เพื่อประโยชน์ในการคุ้มครองพันธุ์สัตว์น้ำที่หายาก หรือป้องกันอันตรายมิให้เกิดแก่สัตว์น้ำและระบบนิเวศ จึงสมควรกำหนดสัตว์น้ำบางชนิดที่ห้ามเพาะเลี้ยง

โดยอาศัยอำนาจตามความในมาตรา 65 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชกำหนดการประมง พ.ศ.2558 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชกำหนดการประมง (ฉบับที่ 6) พ.ศ.2560 รมว.เกษตรและสหกรณ์ ออกประกาศไว้ ห้ามมีให้บุคคลใดเพาะเลี้ยงซึ่งสัตว์น้ำที่ระบุไว้ในบัญชีท้ายประกาศนี้ เว้นแต่จะได้รับใบอนุญาตจากอธิบดีกรมประมง หรือผู้ซึ่งอธิบดีกรมประมงมอบหมาย โดยจากบัญชีท้ายประกาศ ประกอบสัตว์น้ำด้วย 13 ชนิด ดังนี้

- ปลาหมอสีคางดำ
- ปลาหมอมายัน
- ปลาหมอบัตเตอร์
- ปลาทุกชนิดในสกุล Cichla และปลาลูกผสม
- ปลาเทราต์สายรุ้ง
- ปลาเทราต์สีน้ำตาล
- ปลากะพงปากกว้าง
- ปลาโกไลแอทไทเกอร์ฟิช
- ปลาเก๋าหยก
- ปลาที่มีการดัดแปลงหรือตัดแต่งพันธุกรรม GMO LMO ทุกชนิด
- ปูขนจีน
- หอยมุกน้ำจืด
- หมึกสายวงน้ำเงินทุกชนิดในสกุล Hapalochlaena

ทั้งนี้ ห้ามปล่อยลงในแหล่งน้ำธรรมชาติเด็ดขาด หากฝ่าฝืนจำคุกไม่เกิน 1 ปี ปรับไม่เกิน 1 ล้าน หรือทั้งจำทั้งปรับ ทำผิดซ้ำคุก 2 ปี ปรับไม่เกิน 2 ล้านบาท


ขณะที่ "กรมประมง" ได้แนะนำวิธีการปล่อยพันธุ์ปลาไทยในการทำบุญที่ถูกต้อง และไม่ทำลายระบบนิเวศ ดังนี้

1. ปลาตะเพียน/ปลาตะเพียนทอง/ปลากระแห/ปลาสร้อยขาว/ปลากาดำ/ปลาซ่า ควรปล่อยในแม่น้ำ ลำคลองที่เป็นแหล่งน้ำไหล เนื่องจากเป็นปลาที่ต้องการออกซิเจนสูง

2. ปลาช่อน/ปลาดุกอุยหรือดุกนา/ปลาหมอไทย ควรปล่อยในลำคลอง หนอง บึง ที่มีน้ำไหลไม่แรงมาก และมีกอหญ้าอยู่ริมตลิ่ง

3. ปลาไหล ควรปล่อยลงในแม่น้ำ ห้วยหนอง คลองบึง ท้องนา หรือร่องสวน บริเวณที่มีดินเฉอะแฉะ และกระแสน้ำไหลไม่แรงมาก เนื่องจากปลาไหลชอบขุดรูเพื่ออยู่อาศัย

4. กบ สัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ ชอบอยู่ในที่ชื้นแฉะ จึงไม่ควรปล่อยลงแม่น้ำ ควรหาที่นา หรือคลองที่มีกอหญ้าหรือพันธุ์ไม้น้ำ เพราะกบก็จะใช้เป็นที่อยู่อาศัย

5. ปลาสวาย/ปลาบึก ควรปล่อยลงในแม่น้ำลำคลองที่มีระดับน้ำลึกและกระแสน้ำไหลแรง เพราะปลาเหล่านี้เมื่อโตเต็มที่จะมีขนาดค่อนข้างใหญ่ จึงต้องใช้พื้นที่กว้างในการดำรงชีวิต


นอกจากนี้ในการปล่อยสัตว์น้ำยังต้องคำนึงถึงความสมบูรณ์แข็งแรงของสัตว์น้ำ และสภาพแวดล้อมของสถานที่ที่จะนำไปปล่อยด้วย เนื่องจากสัตว์น้ำแต่ละชนิดมีนิสัยความเป็นอยู่ที่แตกต่างกัน ซึ่งจะเป็นการเพิ่มโอกาสรอดให้กับสัตว์น้ำที่ได้เลือกนำไปปล่อยลงแหล่งน้ำธรรมชาติ โดยมีข้อควรคำนึงดังนี้

1. คุณภาพของน้ำที่เอื้อต่อการอาศัยของสัตว์น้ำ โดยก่อนปล่อยสัตว์น้ำควรสังเกตสีน้ำในแหล่งที่ปล่อยต้องมีสีไม่ดำ หรือเขียวเข้มจัด เพราะเป็นน้ำที่มีออกซิเจนต่ำ หากปล่อยลงไปจะทำให้สัตว์น้ำอยู่ไม่ได้

2. คุณภาพของสัตว์น้ำที่ปล่อย ควรเป็นสัตว์น้ำที่มีสุขภาพดี สมบูรณ์ ไม่เป็นโรค ไม่มีแผลตามลำตัว หากปล่อยสัตว์น้ำที่เป็นโรคลงไปในแหล่งน้ำ จะเป็นการแพร่ขยายเชื้อโรคสู่ธรรมชาติ

3. ควรปล่อยลูกปลาขนาดเล็ก ไม่ควรปล่อยปลาขนาดใหญ่ที่ซื้อมาจากตลาด เนื่องจากปลาหน้าเขียงส่วนใหญ่เป็นปลาเลี้ยงที่ได้ขนาดบริโภคแล้ว หากปล่อยลงแหล่งน้ำธรรมชาติที่มีลักษณะแตกต่างจากบ่อเลี้ยงจะปรับตัวได้ยาก ทำให้โอกาสในการรอดมีน้อย

4. ช่วงเวลาในการปล่อยสัตว์น้ำ ควรเป็นเวลาเช้าหรือเย็นที่อากาศไม่ร้อนจัด เพราะหากปล่อยสัตว์น้ำในที่มีแสงแดดจัด อาจทำให้สัตว์น้ำปรับตัวไม่ทันและอาจตายได้


อย่างไรก็ตาม หากทุกๆ คนช่วยกันตระหนักถึงการปล่อยพันธุ์สัตว์น้ำเพื่อการทำบุญ โดยไม่ปล่อยพันธุ์สัตว์น้ำต่างถิ่นลงแหล่งน้ำธรรมชาติอย่างเด็ดขาด และหันมาปล่อยสัตว์น้ำพันธุ์ไทยที่ถูกต้องแทน นอกจากจะไม่ทำลายระบบนิเวศสิ่งแวดล้อมแล้วยังได้บุญเต็มร้อย เพราะการปล่อยสัตว์น้ำพันธุ์ไทยถือเป็นการช่วยเพิ่มความอุดมสมบูรณ์และความหลากหลายทางชีวภาพให้กับประเทศอีกทางหนึ่งด้วย.


https://www.thairath.co.th/news/sustainable/2717569

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #2  
เก่า 30-08-2023
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,809
Default

ขอบคุณข่าวจาก แนวหน้า


สุดระทึก! สารเคมีระเบิด-ไฟลุกไหม้รุนแรง ?ท่าเรือแหลมฉบัง? จนท.กำลังเข้าระงับเหตุ

บึ้มสนั่นตู้คอนเทนเนอร์ บรรจุสินค้าอันตราย ภายในเขตท่าเรือแหลมฉบัง คนงาน 7 ราย มีอาการแน่นหน้าอก แสบตา ในขณะที่เจ้าหน้าที่ระดมกำลังเข้าพื้นที่ สกัดเพลิง



วันที่ 29 สิงหาคม 2566 เวลา 10.45 น. พ.ต.อ.ปพนพัชร์ ใบยา ผกก.สภ.แหลมฉบัง อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี ได้รับแจ้งว่าเกิดเหตุเพลิงไหม้ถังบรรจุสินค้าอันตราย ประเภท UN.2014 class 5.1 ซึ่งมีกลิ่นฉุนรุนแรง และมีฤทธิ์กัดกร่อน เหตุเกิดภายในลานพักตู้คอนเทนเนอร์ เขตพื้นที่ท่าเรือแหลมฉบัง ต.ทุ่งสุขลา อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี จึงรีบเดินทางได้ตรวจสอบ พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวน เจ้าหน้าที่ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเทศบาลนครแหลมฉบัง นำรถดับเพลิงเข้าระงับเหตุ

ที่เกิดเหตุเป็นลานพักตู้คอนเทนเนอร์ ประเภทสินค้าอันตราย โดยพบตู้คอนเทนเนอร์ ตู้สินค้า สารเคมีเป็น Orgaic peroxide type d, solid (สารอินทรีย์เปอร์ออกไซด์) จำนวน 378 กล่อง ได้เกิดปฏิกิริยา ทำให้เกิดเพลิงลุกไหม้ พบกลุ่มควันดำ ขาว รวมถึงเปลวเพลิงลอยพุ่งพรวดขึ้นท้องฟ้าเป็นจำนวนมาก ทั้งนี้จากการตรวจสอบ พบมีผู้ได้รับผลกระทบของบริษัท จำนวน 154 คน ลานจอดรถ 23 คน และนำส่งคนงานจำนวน 7 ราย โรงพยาบาลวิภาราม หลังมีอาการแน่นหน้าอก หายใจลำบาก แสบตา อย่างไรก็ตามเจ้าหน้าที่ได้ระดมกำลัง ฉีดน้ำเพื่อสกัดเพลิง โดยสลับเปลี่ยนหมุนเวียนรถดับเพลิงเข้าพื้นที่

สอบถามผู้เห็นเหตุการณ์ กล่าวว่า ก่อนเกิดเหตุได้พบเห็นควันดำขาว ลอยพุ่งออกมาจากลานพักตู้คอนเทนเนอร์ ดังกล่าว หลังจากนั้นได้นานเริ่มมีเพลิงลุกไหม้ลอยตามมาติดๆ ก่อนที่จะมีระเบิดดังขึ้น หลังจากนั้นก็พบว่าคนงานในพื้นที่ และใกล้เคียงต่างพากันวิ่งหนีกันออกมา นอกจากนี้ยังส่งกลิ่นเหม็นฉุนไปทั่วบริเวณอีกด้วย

เบื้องต้นเจ้าหน้าที่และทางบริษัท ได้กั้นผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องออกจากพื้นที่แล้ว โดยขณะนี้พบว่าเพลิงได้สงบลงแล้ว แต่ยังมีไอระเหยอยู่ ทั้งนี้ทราบว่า สาเหตุอาจเกิดจากอากาศที่ร้อนจัด ส่งผลให้วัตถุภายในตู้เกิดปฏิกิริยาขึ้น ซึ่งหลังเหตุการณ์สงบเจ้าหน้าที่ตำรวจ จะเข้าตรวจสอบพื้นที่อย่างละเอียดอีกครั้งเพื่อสรุปสาเหตุที่แท้จริงต่อไป


https://www.naewna.com/local/753046

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #3  
เก่า 30-08-2023
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,809
Default

ขอบคุณข่าวจาก Nation TV


เฝ้าระวัง น้ำทะเลมหาสมุทรอินเดียกำลังเปลี่ยนสีจากสีน้ำเงินเป็นสีเขียว



ปรากฏการณ์น้ำทะเลเปลี่ยนสี กำลังเกิดขึ้นในหลายพื้นที่ทั่วโลก ล่าสุดพบว่า น้ำทะเลในมหาสมุทรอินเดีย กำลังจะเปลี่ยนจากสีน้ำเงินเป็นสีเขียว เนื่องจากภาวะโลกร้อนส่งผลให้ระบบนิเวศในทะเลเปลี่ยนไป หรือนี่อาจสัญญาณที่บ่งบอกว่าโลกกำลังป่วย

อีกหนึ่งความเคลื่อนไหวด้านสิ่งแวดล้อม ล่าสุด อ.สนธิ คชวัฒน์ นักวิชาการด้านสิ่งแวดล้อม ได้โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กส่วนตัว Sonthi Kotchawat ดังนี้

1.โลกร้อนขึ้นจนถึง 1.2 องศาจากก่อนปฎิวัติอุตสาหกรรม ทำให้มหาสมุทรทั่วโลกมีอุณหภูมิสูงเฉลี่ยถึง 21 องศาในขณะนี้

2.จากการศึกษาของนักวิจัยทั่วโลกพบว่าพื้นที่โลกใกล้เส้นศูนย์สูตรหรือมหาสมุทรอินเดีย (The southen India ocean) กำลังเปลี่ยนสีจากสีน้ำเงินเป็นสีเขียวถึง 56% ของมหาสมุทรทั้งโลก สาเหตุจากโลกร้อนขึ้น เนื่องจากมีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกคือ ก๊าซ CO2 มากขึ้นบนพื้นโลก ทำให้ไฟโตแพลงก์ตอน (Phytoplankton) หรือสาหร่ายสีเขียวในมหาสมุทรเป็นพืชเซลล์เดียวซึ่งมี Chlorophyll เป็นเม็ดสีเขียวจำนวนมากในเซลล์ไปดึงก๊าซ CO2จากบรรยากาศโดยจะจับและเก็บกักก๊าซ CO2 ไว้ในเม็ดสีเขียวจะเกิดปฏิกริยาเคมีเปลี่ยนแปลงเป็นน้ำตาลและจะกลายเป็นพลังงานของเซลล์ เป็นสาเหตุให้แพลงก์ตอนสีเขียวดังกล่าวเจริญเติบโตและเพิ่มจำนวนอย่างรวดเร็ว เกิดการเปลี่ยนสีของน้ำทะเลในมหาสมุทรอินเดียจากสีน้ำเงินกลายเป็นสีเขียว

3.ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นคือเมื่อมีสาหร่ายสีเขียวจำนวนมาก จะเกิดการแย่งก๊าซออกซิเจนใต้ทะเลเพื่อใช้ในการหายใจ จนทำ ให้ขาดก๊าซออกซิเจนใต้ทะเล จะทำให้พืชและสัตว์น้ำใต้ทะเลบางส่วนตายและระบบนิเวศใต้ทะเลเปลี่ยนแปลงจนทำให้ความหลากหลายทางชีวภาพในมหาสมุทรกำลังลดลง

4.โลกร้อนขึ้น, ก๊าซ CO2 เพิ่มขึ้น,แพลงก์ตอนในทะะเลเพิ่มขึ้น, มหาสมุทรเปลี่ยนสี, ก๊าซออกซิเจนใต้ทะเลลดลง, ระบบนิเวศกำลังเปลี่ยนแปลง, สัตว์ทะเลลดลง

ปรากฏการณ์น้ำทะเลในมหาสมุทรอินเดียกำลังเปลี่ยนจากสีน้ำเงินเป็นสีเขียว อาจเป็นสัญญาณเตือนจากโลกที่เตือนให้มนุษย์เราเร่งลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นการด่วนก่อนที่จะสายเกินไป

ขอขอบคุณที่มา : FB Sonthi Kotchawat


https://www.nationtv.tv/gogreen/378928494

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
ตอบ


กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 22:47


vBulletin รุ่น 3.8.10
สงวนลิขสิทธิ์ ©2000-2025, บริษัท Jelsoft Enterprises จำกัด
Ad Management plugin by RedTyger