เลือกสีตามสไลต์ที่คุณชอบ:
SaveOurSea.NET  

กลับไป   SaveOurSea.NET > สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม

 
 
Share คำสั่งเพิ่มเติม เรียบเรียงคำตอบ
Prev คำตอบที่แล้วมา   คำตอบถัดไป Next
  #3  
เก่า 09-10-2023
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,809
Default

ขอบคุณข่าวจาก ไทยรัฐ


พื้นที่ทับซ้อนทางทะเลไทย-กัมพูชา เมื่อความเคลื่อนไหวเริ่มปรากฏ ............... โดย สุภลักษณ์ กาญจนขุนดี




Summary

- การเปิดเจรจาเรื่องพื้นที่ทับซ้อนทางทะเล ไทย-กัมพูชา รอบใหม่ก็ยังเกิดขึ้นไม่ได้ เพราะต้องปรับปรุงคณะกรรมการร่วมด้านเทคนิคไทย-กัมพูชา (Joint Technical Committee) กันใหม่เสียก่อน

- การเจรจาแก้ไขปัญหาพื้นที่ทับซ้อน ที่เคยออกแบบตามบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลไทยและกัมพูชาว่าด้วยพื้นที่ที่อ้างสิทธิในไหล่ทวีปทับซ้อนกันปี 2544 นั้น จะต้องมีคณะกรรมการร่วมด้านเทคนิคของสองประเทศ

- สิ่งที่รัฐมนตรียังไม่ได้พูดคือ แนวนโยบายและจุดยืนในการเจรจาจะเป็นอย่างไร น้ำหนักของการเจรจาจะอยู่ที่ใดระหว่างการแบ่งเขตทางทะเลและการจัดทำระบอบพัฒนาร่วม

- ข้อพิพาทเหล่านี้ จึงเป็นวังวนที่เกี่ยวพันกัน ไม่ใช่แค่เรื่องความมั่นคงทางพลังงาน แต่หากมีใครบ้าจี้ไปปลุกวาทกรรมเสียดินแดนขึ้นมา เรื่องนี้ก็จะกลายเป็นเรื่องความมั่นคงของประเทศ


ปานปรีย์ พหิทธานุกร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีต่างประเทศ บอกกับนักข่าวหลังจากร่วมคณะนายกรัฐมนตรีไปเยือนกัมพูชาเมื่อวันที่ 28 กันยายนที่ผ่านว่า ฝ่ายกัมพูชาได้ยกปัญหาพื้นที่อ้างสิทธิทับซ้อนกันทางทะเลระหว่างสองประเทศที่คาดว่าจะเป็นพื้นที่พัฒนาแหล่งพลังงานมูลค่านับแสนๆ ล้านบาทร่วมกันขึ้นมาหารือ แต่ไม่ได้ให้รายละเอียดว่า มีการพูดคุยกันไปมากน้อยเพียงใด

คำพูดเพียงแค่นี้ของรัฐมนตรีต่างประเทศซึ่งเชี่ยวชาญเรื่องการสร้างความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจ ก็ดูเหมือนจะสร้างความหวังให้กับผู้คนจำนวนมาก ในสถานการณ์ที่สงครามรัสเซีย-ยูเครน ทำให้ราคาก๊าซธรรมชาติเพิ่มสูงขึ้นถึง 40 เปอร์เซ็นต์ ประกอบกับปัญหาความไร้เสถียรภาพทางการเมืองในพม่า ซึ่งเป็นแหล่งอุปทานก๊าซธรรมชาติที่สำคัญแห่งหนึ่งของไทย ได้ส่งแรงกดดันต่อความมั่นคงทางพลังงานของไทยอย่างมาก อีกทั้งก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทยในพื้นที่ส่วนของไทยเองเริ่มร่อยหรอลงไปอย่างมาก หลายแหล่งก็แห้งขอดไปแล้ว

บรรดาผู้เชี่ยวชาญทางด้านพลังงานทั้งหลายจึงมีความหวังว่าหากไทยสามารถเปิดการเจรจาเพื่อพัฒนาแห่งพลังงานร่วมกันในพื้นที่ซึ่งอ้างสิทธิทับซ้อนในอ่าวไทยได้ในเร็ววันนี้ จะช่วยผ่อนคลายแรงกดดันต่อความมั่นคงทางพลังงานของไทยได้พอสมควร


ย้อนดูการเจรจาสิทธิทับซ้อนทางทะเลระหว่างไทย-กัมพูชา ในอดีต

ที่จริงความหวังแบบนี้มีมานานกว่าครึ่งศตวรรษแล้ว นับแต่สองประเทศเริ่มตื่นตัวเรื่องพลังงานใต้ท้องทะเลจนมีกรณีพิพาทกัน มีการเปิดเจรจากันครั้งแรกในปี 2513 เมื่อครั้งที่สองประเทศยังไม่ได้ประกาศกำหนดเขตไหล่ทวีปกัน จนถึงการบรรลุข้อตกลงในการทำบันทึกความเข้าใจในปี 2544 กระทั่งปัจจุบันอาจจะเรียกได้ว่าความหวังนั้นยังไม่เข้าใกล้ความจริงเลย เพราะเผชิญกับปัญหาอุปสรรคมากมายทั้งภายในของแต่ละประเทศและระหว่างสองประเทศ

แม้ทั้งไทยและกัมพูชาจะเพิ่งได้รัฐบาลใหม่เข้าปฏิบัติหน้าที่กันไปเรียบร้อยแล้ว อีกทั้งนายกรัฐมนตรีคนใหม่ทั้งของไทยคือ เศรษฐา ทวีสิน และของกัมพูชาคือ ฮุน มาเนต มีโอกาสพบปะแนะนำตัวสร้างความคุ้นเคยกันไปแล้ว แต่การเปิดเจรจาเรื่องพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลรอบใหม่ก็ยังเกิดขึ้นไม่ได้ เพราะต้องปรับปรุงคณะกรรมการร่วมด้านเทคนิคไทย-กัมพูชา (Joint Technical Committee) กันใหม่เสียก่อน อันเนื่องมาจากเหตุแห่งความเปลี่ยนแปลงตัวบุคคลและอาจจะเปลี่ยนนโยบายในรัฐบาลทั้งสอง

โครงสร้างการเจรจาแก้ไขปัญหาพื้นที่ทับซ้อนที่ได้มีการออกแบบตามบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลไทยและกัมพูชาว่าด้วยพื้นที่ที่อ้างสิทธิในไหล่ทวีปทับซ้อนกันปี 2544 นั้น จะต้องมีคณะกรรมการร่วมด้านเทคนิคของสองประเทศ และภายใต้คณะกรรมการชุดนี้ แต่ละประเทศจะมีคณะอนุกรรมการร่วมด้านเทคนิคของตัวเอง ส่วนของไทยจะต้องมีคณะทำงานย่อยอีกสองชุดคือ คณะทำงานร่วมไทย-กัมพูชาว่าด้วยการแบ่งเขตทางทะเล และคณะทำงานร่วมไทย-กัมพูชาเกี่ยวกับระบอบพัฒนาร่วม

แม้คณะกรรมการชุดนี้จะมีองค์ประกอบส่วนใหญ่เป็นข้าราชการประจำ แต่ประธานและกรรมการจำนวนหนึ่งจะมาจากฝ่ายการเมือง จึงทำให้ได้รับผลกระทบจากความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองมาโดยตลอด คณะกรรมการเทคนิคฝ่ายไทยเมื่อแรกตั้งตามบันทึกความเข้าใจฉบับปี 2544 นั้นมีรัฐมนตรีต่างประเทศเป็นประธาน ในเวลานั้นคือ สุรเกียรติ์ เสถียรไทย ต่อมาได้เปลี่ยนให้รัฐมนตรีกระทรวงพลังงานเป็นประธานเพราะตกลงกับกัมพูชาได้ว่าให้เน้นการเจรจาเพื่อพัฒนาแหล่งพลังงานเป็นหลัก

แต่เนื่องจากในบันทึกความเข้าใจดังกล่าว ระบุไว้ในข้อ 2 ว่า ให้ดำเนินการเจรจาสองเรื่องต่อไปนี้พร้อมกันคือ 1) จัดทำความตกลงสำหรับการพัฒนาร่วมทรัพยากรปิโตรเลีย ซึ่งอยู่ในพื้นที่พัฒนาร่วม (ตามสนธิสัญญาการพัฒนาร่วม) และ 2) ตกลงแบ่งเขตซึ่งสามารถยอมรับได้ร่วมกันสำหรับทะเลอาณาเขตไหล่ทวีปและเขตเศรษฐกิจจำเพาะในพื้นที่ที่ต้องแบ่งเขต (ตามแผนภูมิประกอบ)

ในบางยุค เช่น สมัยรัฐบาลพลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์ สมัคร สุนทรเวช และสมชาย วงศ์สวัสดิ์ จึงดึงให้คณะกรรมการชุดนี้มาอยู่ในความดูแลของกระทรวงต่างประเทศ เพราะมีความชำนาญเฉพาะในเรื่องเขตแดนอยู่แล้ว บางเวลา รัฐมนตรีว่าการฯ ทำหน้าที่เป็นประธานเอง บางเวลาแต่งตั้งรัฐมนตรีช่วยหรือผู้ช่วยรัฐมนตรีหรือข้าราชการชั้นสูงในกระทรวงต่างประเทศให้ทำหน้าที่ประธาน


การเจรจา และการบอกเลิกเจรจา

ในสมัยรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้ยกระดับโดยมอบหมายให้ รองนายกรัฐมนตรีซึ่งในเวลานั้นคือ สุเทพ เทือกสุบรรณ เป็นประธานคณะกรรมการเทคนิคร่วมไทย-กัมพูชา เพื่อทำหน้าที่เป็นหัวหน้าคณะในการเจรจา แต่เนื่องจากเกิดปัญหาขัดแย้งอย่างรุนแรงระหว่างสองประเทศ เพราะเหตุที่ นายกรัฐมนตรีฮุน เซน ของกัมพูชาในเวลานั้น แต่งตั้งอดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร เป็นปรึกษาทางเศรษฐกิจ รัฐบาลอภิสิทธิ์ เกรงว่าจะมีปัญหาเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อน เพราะบันทึกความเข้าใจฉบับนี้ทำในสมัยทักษิณ จึงประกาศบอกเลิกบันทึกความเข้าใจนี้ไปเสีย คณะกรรมการชุดนี้จึงสลายไป

แต่การบอกเลิกบันทึกความเข้าใจในครั้งนั้นเป็นแค่การแสดงท่าทีทางการเมือง ไม่ได้ดำเนินการตามขั้นตอนในการบอกเลิกจริงๆ จึงทำให้การบอกเลิกไม่มีผล รัฐบาลต่อมาภายใต้การนำของยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ซึ่งมีความสัมพันธ์อันดีกับรัฐบาลกัมพูชา จึงยืนยันดำเนินการตามบันทึกความเข้าใจต่อและมอบหมายให้รัฐมนตรีต่างประเทศ ในเวลานั้นคือ สุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล เป็นผู้รับผิดชอบ และมี พิชัย นริพทะพันธุ์รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เข้าร่วมด้วย แต่ยังไม่ได้ทันได้ดำเนินการอะไรเป็นเรื่องเป็นราวรัฐบาลนั้นก็โดนประยุทธ์ จันทร์โอชา ยึดอำนาจไปเสียก่อน

แต่ประยุทธ์อยู่ในอำนาจต่อเนื่องยาวนานตั้งแต่ปี 2014 โดยไม่ได้ดำเนินการเรื่องนี้ให้เกิดความก้าวหน้าได้เลยจนกระทั่งปี 2564 เมื่อรัฐบาลใกล้จะหมดอายุเต็มทีนั่นแหละจึงได้จัดตั้งคณะกรรมการร่วมด้านเทคนิคไทย-กัมพูชา (ฝ่ายไทย) ขึ้นมาโดยมีพลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง เป็นประธาน วิชาวัฒน์ อิศรภักดี ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงต่างประเทศเป็นรองประธาน นอกจากนั้นก็มีผู้แทนหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้อง เช่น อธิบดีกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย กระทรวงการต่างประเทศ และอธิบดีกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ กระทรวงพลังงาน ร่วมเป็นกรรมการ ซึ่งมีทั้งสิ้น 16 คน และภายใต้คณะกรรมการชุดนี้มีคณะทำงานอีกสองชุด คือ คณะทำงานแบ่งเขตทางทะเล มีอธิบดีกรมสนธิสัญญาเป็นประธาน และคณะทำงานระบอบพัฒนาร่วมมีอธิบดีกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติเป็นประธาน


ความคืบหน้าล่าสุด ในการเจรจา ไทย-กัมพูชา

ในช่วงระยะเปลี่ยนผ่านจากรัฐบาลประยุทธ์สู่รัฐบาลปัจจุบัน เจ้าหน้าที่ของทั้งสองประเทศได้พบปะกัน 2-3 ครั้ง แต่ก็เพื่อทำความรู้จักและคุ้นเคยกันเท่านั้น ไม่สามารถดำเนินการเจรจาอะไรกันได้เนื่องจากประเทศไทยยังไม่มีรัฐบาลที่มีอำนาจเต็ม

ก่อนที่นายกรัฐมนตรีเศรษฐาจะเดินทางเยือนกัมพูชาหนึ่งสัปดาห์ เชิดเกียรติ อัตถากร ทูตไทยประจำกัมพูชาได้พบกับ แก้ว รัตนะ (Keo Rattanak) รัฐมนตรีเหมืองแร่และพลังงานของกัมพูชาที่กรุงพนมเปญเพื่อหารือเกี่ยวกับความร่วมมือในการแก้ไขปัญหาเขตทับซ้อนทางทะเล หรืออีกนัย เพื่อขอรับทราบท่าทีของรัฐบาลใหม่กัมพูชาด้วยว่าจะดำเนินการเรื่องนี้ในลักษณะใด ซึ่งรัฐมนตรีแก้วก็ได้บอกกับทูตไทยว่า ทางฝ่ายกัมพูชายินดีจะเปิดการเจรจาเพื่อแก้ไขปัญหาค้างคาระหว่างกัน จึงเป็นที่มาของการนำขึ้นสู่การหารือในระดับรัฐบาลเพื่อรับรองในเชิงหลักการว่าจะสืบต่อการเจรจาเพื่อแบ่งเขตทางทะเลและจัดทำระบอบการพัฒนาร่วมในพื้นที่ซึ่งอ้างสิทธิทับซ้อนกัน

รัฐมนตรีต่างประเทศปานปรีย์ บอกกับผู้สื่อข่าวว่า ภาระหน้าที่ของรัฐบาลไทยตอนนี้ คือจัดทำโครงสร้างคณะกรรมการทางด้านเทคนิคร่วมไทย-กัมพูชา (ฝ่ายไทย) ใหม่เสียก่อนจึงจะพร้อมเจรจา แต่สิ่งที่รัฐมนตรียังไม่ได้พูดคือ แนวนโยบายและจุดยืนในการเจรจาจะเป็นอย่างไร น้ำหนักของการเจรจาจะอยู่ที่ใด ระหว่างการแบ่งเขตทางทะเลและการจัดทำระบอบพัฒนาร่วม ซึ่งบันทึกความเข้าใจบอกว่าให้ทำไปพร้อมกันจะแบ่งแยกมิได้ แต่ในทางปฏิบัติสามารถตกลงกันได้ว่าจะให้น้ำหนักส่วนใดมากกว่ากัน


ปัญหาและอุปสรรค ในการเจรจาเรื่องพื้นที่ทับซ้อนไทย-กัมพูชา

นอกจากที่กล่าวมา ยังมีประเด็นปัญหาบางประการที่อาจจะเป็นปัญหาและอุปสรรคในการเจรจาดังต่อไปนี้

ประการแรก กระทรวงการต่างประเทศและกระทรวงพลังงานซึ่งเคยเป็นคู่สำคัญในการดำเนินการเจรจาเรื่องพื้นที่ทับซ้อนและการพัฒนาร่วมนั้น อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของรัฐมนตรีจากต่างพรรคการเมืองกัน กล่าวคือ รัฐมนตรีต่างประเทศ ปานปรีย์ เป็นคนของพรรคเพื่อไทยในขณะที่ พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาครัฐมนตรีพลังงานมาจากพรรครวมไทยสร้างชาติ การเจรจาคงจะมีปัญหาไม่น้อยหากทั้งสองกระทรวงมีความเห็นหรือแนวทางในการทำงานแตกต่างกัน

ประการที่สอง วุฒิสมาชิกในสายอนุรักษ์นิยมเริ่มมีความเห็นในเชิงคัดค้านการสืบต่อการเจรจาและต้องการให้รัฐบาลขอทบทวนเนื้อหาในบันทึกความเข้าใจปี 2544 เสียใหม่ เพราะเห็นว่าไทยเสียเปรียบ เฉพาะอย่างยิ่งอธิปไตยของไทยเหนือเกาะกูด ซึ่งยังไม่มีข้อยุติ

ถ้าความสัมพันธ์ภายในรัฐบาลยังดีอยู่ ปัญหาข้อแรกอาจจะสามารถข้ามพ้นไปได้ ส่วนประเด็นที่สองนั้น หากไม่มีฝ่ายใดปลุกวาทกรรมเสียดินแดนไปขยายความก็อาจจะสามารถทำความเข้าใจกันได้ แต่อนาคตข้างหน้ายังไม่แน่นักว่า จะมีกลุ่มพลังฝ่ายใดอยากจะล้มรัฐบาลแล้วลุกขึ้นมาจุดประเด็นชาตินิยมอ้างความรักชาติรักแผ่นดินบีบบังคับให้รัฐบาลไทยไปทะเลาะเบาะแว้งกับกัมพูชา จนเป็นเหตุให้มีการบอกเลิกเอกสารฉบับนี้กันอีก

หวังว่าประวัติศาสตร์จะไม่ซ้ำรอย


https://plus.thairath.co.th/topic/po...0wJnJ1bGU9MA==

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
 


กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 22:37


vBulletin รุ่น 3.8.10
สงวนลิขสิทธิ์ ©2000-2025, บริษัท Jelsoft Enterprises จำกัด
Ad Management plugin by RedTyger