เลือกสีตามสไลต์ที่คุณชอบ:
SaveOurSea.NET  

กลับไป   SaveOurSea.NET > สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม

 
 
Share คำสั่งเพิ่มเติม เรียบเรียงคำตอบ
Prev คำตอบที่แล้วมา   คำตอบถัดไป Next
  #6  
เก่า 27-04-2024
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,809
Default

ขอบคุณข่าวจาก กรุงเทพธุรกิจ


'ทะเลเดือด' จาก 'ภาวะโลกร้อน' อุณหภูมิน้ำพุ่งสูงทำลายสถิติต่อเนื่อง .............. โดย กฤตพล สุธีภัทรกุล



"อุณหภูมิพื้นผิวน้ำทะเล" ยังคงทำลายสถิติอย่างต่อเนื่องมานานกว่า 1 ปีแล้ว และมีแนวโน้มว่าปี 2024 จะทำลายสถิติไปเรื่อยๆ เพราะ "ภาวะโลกร้อน" ยังคงรุนแรง เข้าสู่ยุค "ทะเลเดือด" เต็มตัว ส่งผลกระทบต่อสิ่งมีชีวิตในทะเลทั่วโลก

สถาบันการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโคเปอร์นิคัสของสหภาพยุโรป หรือ C3S ระบุว่า เดือนมีนาคม 2567 กลายเป็นเดือนที่อุณหภูมิรายเดือนสูงสุดเป็นประวัติการณ์ติดต่อกันเป็นเดือนที่ 10 ด้วยอุณหภูมิ 21.07 องศาเซลเซียส

"เดือนมีนาคม 2024 มีอุณหภูมิสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งอุณหภูมิอากาศ และอุณหภูมิพื้นผิวมหาสมุทร" ซาแมนทา เบอร์เกสส์ รองผู้อำนวยการของ C3S กล่าวในแถลงการณ์

นักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยแห่งรัฐโคโลราโด คาดการณ์ว่ามหาสมุทรเขตร้อนในมหาสมุทรแอตแลนติกมีอากาศอบอุ่นกว่าปกติ ซึ่งจะทำให้เกิดฤดูพายุเฮอริเคนที่รุนแรง เพราะยิ่งอุณหภูมิในมหาสมุทรสูงขึ้นเท่าใด ก็จะยิ่งทำให้พายุมีพลังมากขึ้นเท่านั้น

กาวิน ชมิดต์ นักอุตุนิยมวิทยา และผู้อำนวยการสถาบันก็อดดาร์ด เพื่อการศึกษาอวกาศ ของนาซา ระบุว่า อุณหภูมิที่สูงขึ้นจนทำลายสถิติใหม่ที่เกิดขึ้นในปีที่ผ่านมา และลากยาวมาจนปีนี้ เป็นเรื่องที่อยู่นอกเหนือความคาดหมายของนักวิทยาศาสตร์ แม้จะคำนึงถึงการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแล้วก็ตาม

อุณหภูมิโลกมีแนวโน้มจะสูงขึ้นในระยะยาว เนื่องจากการเผาไหม้เชื้อเพลิงฟอสซิลที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จะทำให้ก๊าซเรือนกระจกปริมาณมากลอยขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศ โดยในขณะนี้ "การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ" ทำให้อุณหภูมิเฉลี่ยทั่วโลกสูงขึ้นกว่าอุณหภูมิเฉลี่ยยุคก่อนอุตสาหกรรมประมาณ 1.2 องศาเซลเซียส ส่งผลให้มหาสมุทรที่มืดกว่าจะยิ่งดูดซับความร้อนจากก๊าซเรือนกระจกมากขึ้น จึงเป็นสาเหตุให้มหาสมุทรร้อนขึ้นเรื่อยๆ


"ทะเล" ในเอเชียร้อนกว่าทั่วโลก

ข้อมูลจาก องค์การอุตุนิยมวิทยาโลก หรือ WMO ระบุว่า อุณหภูมิพื้นผิวทะเลของฝั่งเอเชีย ไม่ว่าจะเป็นฝั่งกระแสน้ำญี่ปุ่น หรือกระแสน้ำคุโรชิโอะ ซึ่งอยู่ฝั่งตะวันตกของแอ่งมหาสมุทรแปซิฟิกเหนือ รวมถึง ทะเลอาหรับ ทะเลแบเรนตส์ตอนใต้ ทะเลคาราตอนใต้ และทะเลลัปเตฟทางตะวันออกเฉียงใต้ สูงกว่าอุณหภูมิผิวน้ำทะเลเฉลี่ยทั่วโลกถึง 3 เท่า

ทะเลแบเรนตส์กลายเป็นจุดความร้อนของมหาสมุทร เนื่องจากภาวะโลกร้อนที่พื้นผิวมหาสมุทรส่งผลกระทบสำคัญต่อธารน้ำแข็งในน้ำทะเล ซึ่งเร่งให้เกิดการสูญเสียน้ำแข็งในทะเลให้เร็วยิ่งขึ้น และทำให้ดูดกลืนก๊าซเรือนกระจก และแสงอาทิตย์ได้มากกว่าธารน้ำแข็งที่เป็นสีขาวที่สะท้อนแสงได้ดีกว่า

นอกจากนี้ อุณหภูมิพื้นผิวน้ำทะเล (ระดับความลึกตั้งแต่ 0-700 เมตร) ในทะเลอาหรับตะวันตกเฉียงเหนือ ทะเลฟิลิปปินส์ และทะเลทางตะวันออกของประเทศญี่ปุ่น สูงกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลกถึงสามเท่า

สำหรับคลื่นความร้อนที่เกิดในทะเลอาหรับตะวันออก และทางตอนเหนือของมหาสมุทรแปซิฟิก จะกินเวลานานถึง 3-5 เดือน โดยความร้อนที่ยืดเยื้อยาวนานนี้จะส่งผลกระทบต่อมหาสมุทรอย่างรุนแรง


"ทะเลเดือด" ทำร้ายสิ่งมีชีวิตในทะเล

ปรากฏการณ์ "ทะเลเดือด" ส่งผลกระทบโดยตรงต่อสิ่งมีชีวิตในทะเล จะทำให้โลกสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ โดย 1 ใน 3 ของสัตว์ทะเลพื้นเมืองในทะเลเมดิเตอร์เรเนียนอาจเปลี่ยนแหล่งที่อยู่อาศัย ย้ายอยู่ในน้ำที่ลึกกว่า และเย็นกว่า เช่น "ปลาค็อด" ที่อพยพย้ายไปยังน่านน้ำใกล้รัสเซีย และนอร์เวย์

ในขณะที่ สัตว์ชนิดพันธุ์ต่างถิ่นที่รุกราน เช่น ปูม้า และปลาสิงโตจะเจริญเติบโตในน้ำอุ่น บุกรุกที่อยู่อาศัยของสิ่งมีชีวิตเฉพาะถิ่น

"สิ่งนี้อาจส่งผลกระทบอย่างกว้างขวางต่อความหลากหลายทางชีวภาพทางทะเล และการเปลี่ยนแปลงของระบบนิเวศในภูมิภาค เนื่องจากพวกมันสามารถแข่งขันกับสายพันธุ์พื้นเมืองได้" เวอร์จินิยุส ซินเควิชิอุส สมาชิกคณะกรรมาธิการยุโรปด้านสิ่งแวดล้อม มหาสมุทร และการประมง ให้สัมภาษณ์กับ Financial Times

นอกจากนี้ ซินเควิชิอุสยังตั้งข้อสังเกตว่า สิ่งมีชีวิตในท้องทะเลมีจำนวนลดลง เป็นเพราะว่าน้ำเสียที่ไม่ผ่านการบำบัด และการปนเปื้อนมลพิษจากภาคการเกษตร ทำให้สาหร่ายในน้ำแพร่พันธุ์อย่างรวดเร็ว จนแหล่งน้ำไม่มีออกซิเจน ทำให้สิ่งมีชีวิตไม่สามารถอาศัยอยู่ได้ รวมไปถึงการประมงเกินขีดจำกัดก็เป็นอีกปัจจัยสำคัญที่ทำให้สิ่งมีชีวิตในท้องทะเลลดลงอย่างน่าใจหาย


สาเหตุที่ทำให้ "ทะเลเดือด"

ในปี 2023 เกิดปรากฏการณ์ "เอลนีโญ" (El Ni?o) ที่ทำให้อุณหภูมิมหาสมุทรอุ่นขึ้นผิดปกติ ซึ่งเริ่มตั้งแต่เดือนกรกฎาคม ที่ผ่านมา และปัจจุบันเอลนีโญกำลังเริ่มอ่อนกำลังลง จากนั้นจะเข้าสู่ปรากฏการณ์ "ลานีญ" (La Ni?a) เป็นช่วงที่อุณหภูมิมหาสมุทรเย็นลงผิดปกติ

อย่างไรก็ตามเอลนีโญ และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศไม่ใช่แค่ 2 ปัจจัยที่ทำให้น้ำทะเลเดือด ยังมีปัจจัยอื่นๆ ประกอบอีก ไม่ว่าจะเป็นการระเบิดของภูเขาไฟใต้น้ำฮันกาตองกาฮันกาฮาพาย (Hunga-Tonga-Hunga-Haapai) ในตองกา เมื่อปี 2022 ทำให้เกิดเขม่า และฝุ่นละอองปกคลุมแสงแดด จนชั้นบรรยากาศเย็นลงชั่วคราว

แต่เนื่องจากภูเขาไฟลูกนี้จมอยู่ใต้น้ำใต้มหาสมุทรแปซิฟิก การปะทุของมันจึงพ่นไอน้ำหลายล้านตันขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศชั้นบนด้วย และไอน้ำเป็นก๊าซเรือนกระจกที่ทรงพลัง

ผลกระทบจากภาวะโลกร้อนจากการปะทุของภูเขาไฟมีมากกว่าที่นักวิทยาศาสตร์เคยประมาณการไว้ก่อนหน้านี้ โดยชอน เบิร์กเคิล ผู้ช่วยศาสตราจารย์จากสถาบันการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของมหาวิทยาลัยเมน ตั้งข้อสังเกตว่าการปะทุอาจส่งผลกระทบต่อการไหลเวียนของบรรยากาศ และช่วยขยายขอบเขตปรากฏการณ์เอลนีโญในช่วงปี 2023 แต่เขาเสริมว่าจำเป็นต้องมีการวิจัยเพิ่มเติม

อีกหนึ่งประเด็นคือ มาตรการลดมลภาวะจากละอองลอยจากเรือคอนเทนเนอร์ที่เดินทางข้ามมหาสมุทร ตามมาตรฐานเชื้อเพลิงสากลใหม่ที่มีผลบังคับใช้ในปี 2020 กลับทำให้เกิดการระบายความร้อนในชั้นบรรยากาศตอนกลาง และตอนบน อีกทั้งช่วยปกปิดผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศมาจนถึงปัจจุบัน

ที่มา: Financial Times, The New York Times


https://www.bangkokbiznews.com/environment/1124024
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
 


กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 08:31


vBulletin รุ่น 3.8.10
สงวนลิขสิทธิ์ ©2000-2025, บริษัท Jelsoft Enterprises จำกัด
Ad Management plugin by RedTyger