![]() |
|
|
|
#1
|
||||
|
||||
|
ขอบคุณข่าวจาก ผู้จัดการ
เศร้าอีก? พบปะการังเกาะทะลุ ส่วนที่ "ฟอกขาว "โผล่ให้เห็น ช่วงน้ำทะเลลด ประจวบคีรีขันธ์ - เศร้าอีก? พบปะการังเกาะทะลุ ส่วนหนึ่งที่"ฟอกขาว "โผล่ให้เห็นช่วงน้ำทะเลลด บางส่วนมีตายไปบ้างแล้ว ![]() เกาะทะลุ ต.ทรายทอง อ.บางสะพานน้อย จ.ประจวบฯ ซึ่งเป็นแหล่งดำน้ำดูปะการังน้ำตื้นที่สวยงามแห่งหนึ่ง ของประจวบฯ ซึ่งตั้งแต่วันที่ 21 มิถุนายน ที่ผ่านมา ตามตารางน้ำกรมอุทกศาสตร์ กองทัพเรือ ได้แจ้งว่าน้ำทะเล จะลดต่ำต่ำสุดวานนี้ (23 มิ.ย.) โดยนายเผ่าพิพัธ เจริญพักตร์ เลขามูลนิธิฟื้นฟูทรัพยากรทะเลสยาม พร้อมเจ้าหน้าที่มูลนิธิฯได้ลงพื้นที่ติดตาม ซึ่งถือเป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติของทุกปี ซึ่งพบปะการังชนิดต่างๆและสัตว์น้ำประเภทหอยโผล่ให้เห็นนั้น ล่าสุดวันนี้ (24 มิ.ย.) เป็นวันสุดท้ายที่น้ำลดลง โดยตั้งแต่ช่วงเช้ามืดที่ผ่านมามีฝนตกลงมา และน้ำลดลงต่ำสุดในช่วงเที่ยง จากการติดตามสถานการณ์ดังกล่าว พบว่า ในจุดที่ห่างแนวชายหาดไม่มากนัก พบปะการังที่โผล่ขึ้นมามีการฟอกขาวอย่างชัดเจน โดยเฉพาะปะการังเขากวางแบบกิ่งก้าน นอกจากนั้นในส่วนที่เป็นปะการังขนาดใหญ่เป็นรูปทรงต่างๆ ด้านผนังข้างโดยรอบ จะเห็นมีการฟอกขาวได้อย่างชัดเจนเช่นกัน ทั้งบริเวณอ่าวมุก อ่าวใหญ่ กระจายตามจุดต่างที่น้ำลดลง สำหรับการฟอกขาวเกิดขึ้นมา2-3เดือนที่ผ่านมา ซึ่งทางเจ้าหน้าที่มูลนิธิฟื้นฟูทรัพยากรทะเลสยาม ได้มีการดำน้ำเก็บภาพถ่ายไว้ และรายงานการฟอกขาวให้ทางกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งทราบไปแล้วเบื้องต้น โดยทางมูลนิธิฟื้นฟูฯจะทำการดำน้ำสำรวจอีกครั้ง หากสภาพอากาศดีและน้ำทะเลใส ในช่วงที่คลื่นลมสงบ เพื่อนำเปรียบเทียบกัน แต่การฟอกขาวของปะการังบางส่วนตายแล้ว เนื่องจากปีนี้มีอุณหภมิน้ำร้อนมาก ส่วนที่เหลืออยู่ก็ต้องอาศัยธรรมชาติในการฟื้นฟู ด้านนายเอกฤทธิ์ ดวงมาลา หัวหน้าอุทยานแห่งชาติอ่าวสยาม(เตรียมการ) ซึ่งรับผิดดชอบเกาะทะลุ เกาะสิงห์ และเกาะสังข์ กล่าวว่าในส่วนการสำรวจการฟอกขาวของปะการังที่เกาะทะลุ นั้นทางฝ่ายสำรวจศูนย์ฯชุมพร ลงมาสำรวจได้แค่เกาะสิงห์เท่านั้น ซึ่งพบการฟอกขาวเพียง10 % แต่ในส่วนเกาะสังข์และเกาะทะลุ ต้องรอวางแผนสำรวจ หลังคลื่นลมสงบเพื่อประเมินสถานการณ์ปะการังฟอกขาวต่อไป ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า ในส่วนที่เกาะจาน เกาะท้ายทรีย์ นั้นทางอุทยานฯ ได้ประกาศปิดการท่องเที่ยวดำน้ำเป็นการชั่วคราวตั้งแต่ต้นเดือนื่ผ่านมา เนื่องจากแนวปะการังเกิดการฟอกขาว และ น้ำทะเลที่มีการลดต่ำ ทำให้ไม่เอื้อต่อการท่องเที่ยวดำน้ำอาจส่งผลกระทบต่อทรัพยากรทางทะเล ซึ่งขณะนี้ยังไม่มีกำหนดเปิดแต่อย่างใด ส่วนสถานการณ์น้ำทะเลลดต่ำจะเกิดขึ้นอีกครั้ง ประมาณ วันที่ 20 ก.ค. ซึ่งก็จะมีการติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดต่อไป https://mgronline.com/local/detail/9670000053978
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
|
#2
|
||||
|
||||
|
ขอบคุณข่าวจาก มติชน
ปลิงทะเลขาวพังงา สัตว์น้ำเศรษฐกิจ ขึ้นทะเบียนสินค้า GI ลำดับ 4 สร้างมูลค่า 3.3 ล้านต่อปี ![]() เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน ผู้สื่อข่าวรายงาน ที่ศูนย์วิจัยและพัฒนาการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำชายฝั่งพังงา ริมทะเลหาดท้ายเหมือง อ.ท้ายเหมือง จ.พังงา มีการศึกษาวิจัยเพาะเลี้ยงปลิงทะเล ซึ่งโดยมี นางอาภรณ์ เทพพานิช ผอ.ศูนย์วิจัยและพัฒนาการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำชายฝั่งพังงา สำหรับการเพาะเลี้ยงปลิงทะเลเกาะยาวภายในโรงเรือน ที่เริ่มตั้งแต่การเก็บพ่อแม่พันธุ์จากธรรมชาติ ในพื้นที่อำเภอเกาะยาว มาทำการเพาะพันธุ์ โดยการผสมไข่และน้ำเชื้อ จากนั้นเมื่อได้ตัวอ่อนนำไปอนุบาล จนได้ลูกปลิงระยะว่ายน้ำประมาณ 25-30 วัน แล้วนำไปปล่อยในแหล่งน้ำธรรมชาติ สำหรับปลิงทะเลขาวที่เกาะยาวจะมีความแตกต่างจากที่อื่นเนื่องจาก มีความสมบูรณ์ของตัวปลิงขนาดใหญ่ เนื้อหนาและแน่น สังเกตได้จากความสมบูรณ์ของพ่อแม่พันธุ์ เมื่อนำมาเพาะพันธุ์ พบว่าพ่อแม่พันธุ์ปลิงมีความแข็งแรง การเพาะพันธุ์สามารถให้ปริมาณไข่และน้ำเชื้อดีมาก พบว่าพ่อแม่จากเกาะยาว คุณภาพดีที่สุด โดยราคาขายปลิงทะเล ถ้าเป็นแบบสดจะขายอยู่ที่ ราคา 300 ? 500 บาท/กิโลกรัม ส่วนแบบตากแห้ง ราคาจะจะอยู่ที่ 3,000 ? 7,000 บาท/กิโลกรัมสร้างมูลค่าให้กับชาวเกาะยาว ส่วนใหญ่จะนิยมนำไปแปรรูปเป็นอาหาร ยา และเครื่องสำอาง ปัจจุบันศูนย์วิจัยและพัฒนาการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำชายฝั่งพังงา ตั้งอยู่บริเวณชายหาดท้ายเหมือง ได้นำพ่อแม่พันธุ์ปลิงขาว จากเกาะยาว มาเพาะพันธุ์ในโรงเพาะฟักอนุบาลเป็นระยะ อายุประมาณ 25-30 วัน (ระยะโดลิโอลาเรีย) โดยมีชาวบ้านบริเวณเกาะยาว เกาะยาวน้อยเริ่มให้ความสนใจเลี้ยงปลิงทะเลขาวเพื่อนำไปขายสร้างมูลค่า ตลาดต้องการเป็นอย่างมากในตอนนี้ ทางศูนย์วิจัยพังงา ได้มีการถ่ายทอดองค์ความรู้ วิธีการเพาะเลี้ยง วิธีทำบ่อเลี้ยง ให้กับผู้ที่สนใจ นำไปเลี้ยงต่อได้เอง ปลิงทะเลขาว เป็นสัตว์ที่มีผิวลำตัวเป็นหนาม (Echinodermata) เช่นเดียวกับ ดาวทะเล ดาวเปราะ ดาวขนนก และเม่นทะเล ปลิงทะเลแตกต่างจากปลิงน้ำจืดคือปลิงน้ำจืดเป็นสัตว์ในกลุ่มหนอนปล้อง (Annelida) ได้แก่ ไส้เดือนดิน ทากดูดเลือด เป็นต้น แต่ปลิงทะเลไม่ดูดเลือดเหมือนปลิงน้ำจืด แต่กินเศษซากอินทรียสารเป็นอาหาร รูปทรงของปลิงทะเลส่วนใหญ่มีรูปร่างเป็นทรงกระบอกยาว ผิวลำตัวมีทั้งหนา บาง แล้วแต่ชนิด ปลายลำตัวด้านหนึ่งเป็นปากและอีกด้านหนึ่งเป็นทวาร รอบๆ ปากมีหนวด 10-30 เส้น ทำหน้าที่จับอาหารเข้าสู่ปาก โดยส่วนใหญ่ปลิงทะเล มักจะไม่เคลื่อนไหว แต่จะนอนนิ่งๆ อยู่กับที่ แต่ถ้าหากจะเคลื่อนที่ก็จะใช้ท่อ (tube feet) เป็นตัวขยับเดิน ปลิงทะเล ส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในแหล่งน้ำทะเลที่สะอาด ปลิงทะเลจึงนับได้ไว้เป็นตัวชี้วัดคุณภาพของน้ำ และยังเป็นหนึ่งในสิ่งมีชีวิตที่ช่วยรักษาความสมดุลในท้องทะเล ปลิงทะเลนั้นจะกินซากพืชหรือซากสัตว์ ตะกอนดิน แพลงก์ตอนที่ตายแล้วที่ทับถมกันบนทราย ช่วยย่อยอินทรีย์สารให้มีขนาดเล็กลงและปลดปล่อยสารอาหารที่มีขนาดเล็กให้สัตว์ที่มีขนาดเล็กกว่าและจุลินทรีย์ต่าง ๆ ด้วยสารที่ขับออกมาจากอยู่ในรูปแบบของแอมโมเนีย ซึ่งแพลงก์ตอนนั้นสามารถนำไปใช้ได้ สำหรับประโยชน์ทางการแพทย์นั้นมีการศึกษาวิจัยสกัดสารจากผนังลำตัวปลิงทะเล พบว่ามีสารโฮโลท็อกซิน (Holotoxin) ที่มีผลในการยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อราบางชนิด และยังได้พัฒนาไปใช้ยับยั้งการกระจายตัวของเซลล์มะเร็งด้วย อีกทั้งเส้นใยสีขาวของปลิงทะเลบางชนิด ยังมีสารโฮโลทูริน (Holothurin) ที่มีคุณสมบัติในการขัดขวางการส่งความรู้สึกของกระแสประสาท ที่สามารถนำมาใช้ในการบำบัดความเจ็บปวดของผู้ป่วยหลังการผ่าตัดได้ ปลิงทะเลยังเป็นอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูง พบว่า ในเนื้อของปลิงทะเลอุดมไปด้วยสารอาหาร ที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง "มิวโคโปรตีน (mucoprotein)" ที่เป็นองค์ประกอบสำคัญของกระดูกอ่อน เอ็น การบริโภคปลิงทะเลจึงสามารถบรรเทาปัญหาการเสื่อมสมรรถนะของข้อ กระดูก ในผู้สูงอายุได้ ปลิงทะเลมีโปรตีนใกล้เคียงกับหมึกกล้วย ปูม้า หอยแมลงภู่ และหอยลาย มีไขมันต่ำมาก ปลิงทะเลจึงเป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำหรับคนที่ต้องการควบคุมไขมันได้เป็นอย่างดี นายธันว์ จิตตนูนท์ นักวิชาการประมงปฏิบัติการ กล่าวว่า ปลิงทะเล ชนิดปลิงขาว เราได้รับการถ่ายทอดความรู้การเพาะเลี้ยงปลิงทะเลจากศูนย์วิจัยและพัฒนาการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำชายฝั่งประจวบคีรีขันธ์ เป็นผู้ถ่ายทอดการเพาะ การอนุบาลและการเลี้ยงเมื่อปี 2565 และทางเรามาทำสำเร็จเมื่อปี 2566 โดยวิธีการเราจะกระตุ้นให้ปลิงทะเลออกไข่โดยใช้สไปรูลิน่าแบบผง ปริมาตร 0.75 กรัมต่อ 1 ตัว ใช้เวลาประมาณ 1-1.5 ชั่วโมง พอปลิงทะเลปล่อยไข่และน้ำเชื้อออกมา เราก็จะนำมาผสมกัน และนำมาเลี้ยงไว้ในถังอนุบาล ปลิงทะเล 1 ตัวจะออกไข่ประมาณ 1 ล้านฟอง อัตราการรอดช่วงอนุบาลถึงนำเกษตรนำไปเลี้ยง 10% ส่วนระยะขนาดตัว 2-3 เซนติเมตร อัตราการรอดจะอยู่ที่ 1 % ศูนย์วิจัยและพัฒนาการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำชายฝั่งพังงา ได้ดำเนินการวิจัยเพาะพันธุ์ อนุบาล ตลอดจนส่งเสริมการเลี้ยงสู่เกษตรกรและหน่วยงานอื่นๆ ที่สนใจ หากท่านใดสนใจสามารถติดต่อศูนย์วิจัยและพัฒนาการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำชายฝั่งพังงาได้ นายวุฒิไกร ลีวีระพันธุ์ อธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญา เปิดเผยว่า ขณะนี้ทางกรมทรัพย์สินทางปัญญาได้ประกาศขึ้นทะเบียน "ปลิงทะเลเกาะยาว" เป็นสินค้า GI ลำดับ 4 ของจังหวัดพังงา โดยมีการขึ้นทะเบียนไปแล้ว 3 ชนิดสินค้าทางการเกษตรประกอบด้วย ทุเรียนสาลิกา ข้าวไร่ดอกข่า และ มังคุดทิพย์พังงา สำหรับปลิงทะเลขาวพังงา คาดว่าจะเป็นสัตว์น้ำเศรษฐกิจที่กำลังเป็นที่นิยมและต้องการของตลาดเป็นอย่างมากตอนนี้ อีกทั้งยังสามารถสร้างรายได้มากถึง 3.3 ล้านบาทต่อปี https://www.matichon.co.th/economy/news_4646327
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
|
#3
|
||||
|
||||
|
ขอบคุณข่าวจาก มติชน
สาวเดินเล่นหาด บนเกาะเต่า สุดพีค เจอโลมาไหม้เกรียม-หางขาด ชาวเน็ตสงสัย ทำไมมีสภาพนี้? ![]() เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน ผู้สื่อข่าวรายงานว่ามีผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่ง โพสต์ระบุว่า "What?s happening? เดินเล่นอยู่หาดที่เกาะเต่าแทบทุกหาด เจอปลาตายทุกวันเลยช่วงนี้ และวันนี้คือพีคสุด เจอโลมาตายอยู่หาดโปรด ทะเลกำลังบอกอะไรเรา?" จากโพสต์ดังกล่าวมีหลายคนเข้ามาถามสาเหตุการตายมากมาย เช่น - เหมือนโดนกัดมาเลยค่ะ - เหมือนถูกไฟชอร์ตเลย - เผาแน่นอนสภาพนี้ - ทำไมสภาพน้องไหม้เกรียมแบบนั้น - โดนเรือนี่แหละ ปกติธรรมชาติน้องจะเข้าหา มาเล่นด้วย แล้วน้องมีสมองฉลาดอันดับ1เลยนะ คิดเอาครับ - มีคนทำมันแน่ๆ ทำไมดูเหมือนโดนเผา หางขาดได้ไง แล้วมานอนตรงนี้ได้ยังไง ปลาโลมาเกาะเต่ายิ่งหาดูยากด้วย https://www.matichon.co.th/social/news_4645863
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
|
#4
|
||||
|
||||
|
2 เดือน "พะยูน" ตายแล้ว 5 ตัว ล่าสุดติดอวนลอยกลางทะเลกระบี่ 2 เดือน "พะยูน" ตายแล้ว 5 ตัว ล่าสุดพบซากพะยูนตัวเมียลอยกลางทะเลในพื้นที่อุทยานฯ หาดนพรัตน์ธารา-หมู่เกาะพีพี เบื้องต้นตายจากติดอวนจนขาดอากาศหายใจ เร่งหาตัวคนผิดลักลอบวางอวนปู เหตุเป็นพื้นที่ห้ามทำประมงทุกชนิด ![]() วันนี้ (24 มิ.ย.2567) นายยุทธพงค์ ดำศรีสุข หัวหน้าอุทยานแห่งชาติหาดนพรัตน์ธารา-หมู่เกาะพีพี เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 23 มิ.ย.2567 เวลา 17.30 น. อุทยานฯ ได้รับแจ้งจากผู้ประกอบการเรือหางยาว ว่า พบซากพะยูนลอยอยู่กลางทะเล เจ้าหน้าที่สายตรวจส่วนกลาง พร้อมเจ้าหน้าที่ฝ่ายวิชาการฯ เข้าตรวจสอบพบซากพะยูน สัตว์ป่าสงวนลำดับที่ 6 ลักษณะลอยอยู่กลางทะเล ห่างจากฝั่งประมาณ 600 เมตร พื้นหมู่ที่ 2 ต.อ่าวนาง อ.เมืองกระบี่ จ.กระบี่ ในเขตอุทยานแห่งชาติหาดนพรัตน์ธารา-หมู่เกาะพีพี จึงตัดอวนและลากพะยูนขึ้นมาบนฝั่งที่ทำการอุทยานฯ เพื่อตรวจสอบพะยูนซาก และเก็บข้อมูลพร้อมเก็บกู้อวนปูดังกล่าว ทั้งนี้ พบว่าซากดังกล่าวเป็นพะยูนตัวเมีย ขนาดความยาว 210 เซนติเมตร ขนาดรอบตัว 130 เซนติเมตร ขนาดโคนหาง 46 เซนติเมตร น้ำหนักประมาณ 200 กิโลกรัม มีลักษณะติดอวนปู เป็นเชือกไนล่อนและตาข่ายเอ็นพันบริเวณโคนหางและปลายหางแน่นจนไม่สามารถว่ายน้ำขึ้นมาหายใจได้ คาดว่าตายเพราะขาดอากาศหายใจ เนื่องจากพะยูนต้องขึ้นมาหายใจบนผิวน้ำทุก 3-5 นาที อีกทั้งไม่พบร่องรอยบาดแผล สำหรับพื้นที่ที่ตรวจพบซาก เป็นเส้นทางเคลื่อนย้ายหากินของพะยูน ซึ่งอุทยานแห่งชาติหาดนพรัตน์ธารา-หมู่เกาะพีพี ได้ออกประกาศอุทยานฯ เมื่อวันที่ 11 พ.ค.2557 เรื่องมาตรการและข้อปฏิบัติในการอนุรักษ์พะยูนและแหล่งหญ้าทะเล โดยห้ามทำการประมงทุกชนิด บริเวณพื้นที่แหล่งหญ้าทะเล และห้ามมิให้ผู้ใดล่าสัตว์ป่าสงวนหรือสัตว์ป่าคุ้มครอง พฤติกรรมการกระทำของบุคคลที่ลักลอบเข้าไปวางอวนปูในพื้นที่ดังกล่าว ซึ่งไม่ได้ผ่อนผันให้ทำประมงพื้นบ้าน เป็นเหตุให้สัตว์ป่าสงวน ซึ่งใกล้สูญพันธุ์ตายลง จึงเป็นการฝ่าฝืนกฎหมายว่าด้วยการป่าไม้ คณะพนักงานเจ้าหน้าที่จึงได้จัดทำบันทึกพร้อมรวบรวมพยานหลักฐาน แจ้งความกล่าวโทษต่อพนักงานสอบสวน สภ.อ่าวนาง เพื่อสืบสวนหาตัวผู้กระทำผิดมาดำเนินคดีตามกฎหมาย มีความผิดตามพระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ พ.ศ.2562 ดังนี้ ฐานล่อหรือนำสัตว์ป่าออกไปหรือกระทำให้เป็นอันตรายแก่สัตว์ป่าด้วยประการใด ๆ โดยไม่ได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ มาตรา 19 (3) ประกอบมาตรา 43, ฐานร่วมกันนำเครื่องมือสำหรับล่าสัตว์ หรือจับสัตว์ หรืออาวุธใด ๆ เข้าไปในเขตอุทยานแห่งชาติ โดยมิได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ มาตรา 19 (7) ประกอบมาตรา 45, พระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2562 ฐานล่าสัตว์ป่าสงวนหรือสัตว์ป่าคุ้มครอง โดยไม่ได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ ตามมาตรา 12 ประกอบมาตรา 89 สำหรับซากพะยูนได้ประสานงานนำส่งศูนย์วิจัยทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งทะเลอันดามันตอนล่าง เพื่อตรวจสอบชันสูตรหาสาเหตุการตายจากผู้เชี่ยวชาญโดยละเอียดต่อไป ทั้งนี้ ช่วงเดือน พ.ค.-มิ.ย.2567 มีรายงานพะยูนตายแล้ว 5 ตัว ได้แก่ เมื่อวันที่ 7 พ.ค.2567 พะยูนตาย 1 ตัว, วันที่ 9 พ.ค.2567 พะยูนตาย 1 ตัว, วันที่ 11 พ.ค.2567 พะยูนตาย 2 ตัว และล่าสุดวันที่ 23 มิ.ย. พะยูนตาย 1 ตัว https://www.thaipbs.or.th/news/content/341341
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
|
#5
|
||||
|
||||
|
ขอบคุณข่าวจาก ThaiPBS
ดีเดย์ 30 มิ.ย.ปิดอ่าวโละบาเกา-ถ้ำไวกิ้ง-ปิเละ ปะการังฟอกขาวหนัก ดีเดย์ 30 มิ.ย.นี้ กรมอุทยานฯ ปิดอ่าวโละบาเกา-ถ้ำไวกิ้ง-ปิเละ หลังสถานการณ์ปะการังฟอกขาวหนักเกือบ 100% จนกว่าสถานการณ์จะดีขึ้น ขณะที่จุดดำน้ำอื่นยังเปิดท่องเที่ยวได้ ![]() วันนี้ (23 มิ.ย.2567) นายยุทธพงค์ ดำศรีสุข หน.อุทยานแห่งชาติหาดนพรัตน์ธารา-หมู่เกาะพีพี กล่าวว่า จากการสำรวจสถานการณ์ปะการังฟอกขาวในเขตอุทยานแห่งชาติหาดนพรัตน์ธารา-หมู่เกาะพีพี จ.กระบี่ ล่าสุดยังพบแนวโน้มรุนแรง โดยเฉพาะอ่าวโละบาเกา ถ้ำไวกิ้ง (ด้านทิศเหนือ) และหน้าอ่าวปิเละ ของเกาะพีพี ปะการังเขากวาง ดอกไม้ทะเล เป็นสีขาวเกือบ 100% และยังมีแนวโน้มจะรุนแรงมากขึ้น นายยุทธพงศ์ กล่าวว่า อุทยานฯ พิจารณาแล้ว เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้เกิดความเสียหายต่อแนวปะการัง รวมถึงลดผลกระทบจากกิจกรรมประเภทต่างๆ ที่อาจเป็นการเร่งให้ปะการังเกิดการฟอกขาว จึงมีความจำเป็นเรงด่วน จึงขอประกาศปิดแหล่งท่องเที่ยวสำหรับประกอบกิจกรรมดำน้ำตื้น ได้แก่ บริเวณอ่าวโละบาเกา ถ้ำไวกิ้ง (ด้านทิศเหนือ) และหน้าอ่าวปิเละ เป็นการชั่วคราว ทั้งนี้ยังเปิดให้บริการแหล่งท่องเที่ยวอื่นๆ รวมถึงปฏิบัติงานตามภารกิจของกรมอุทยานฯ โดยเริ่มตั้งแต่ 30 มิ.ย.นี้ จนกว่าสถานการณ์จะดีขึ้น สำหรับการประกาศปิดการท่องเที่ยวดังกล่าว เป็นมาตรการกรณีมีความจำเป็นเร่งด่วน หรือมีเหตุฉุกเฉินที่จะต้องกระทำการ หรืองดเว้นการกระทำใด ๆ ในอุทยานแห่งชาติเพื่อรักษาสภาพธรรมชาติ ระบบนิเวศ ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จึงอาศัยอำนาจตามความในมาตรา 25 และ 35 (4) แห่งพ.ร.บ.อุทยานแห่งชาติ พ.ศ.2562 ขณะที่ช่วงเดือนเม.ย.-มิ.ย.ที่ผ่านมา กรมอุทยานประกาศปิดแหล่งท่องเที่ยวในอุทยานแห่งชาติทางฝั่งอันดามันและอ่าวไทยไปแล้วกว่า 10 แห่งเพื่อให้ฟื้นฟูตัวเอง และล่าสุดอีก 3 จุดดำน้ำชื่อดังเพิ่มเติมของหมู่เกาะพีพีด้วย โดยก่อนหน้านี้ อุทยานฯ เพิ่งประกาศการเก็บเงินอุทยานแห่งชาติได้มากขึ้น 1,785,493,410 บาท ซึ่งเป็นยอดสถิติการจัดเก็บเงินอุทยานแห่งชาติ ที่สามารถจัดเก็บเงินจนแซงหน้ายอดการจัดเก็บเงินอุทยานแห่งชาติของปี 2566 โดยอุทยานแห่งชาติหาดนพรัตน์ธารา-หมู่เกาะพีพี 500 ล้านบาท https://www.thaipbs.or.th/news/content/341327
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
|
#6
|
||||
|
||||
|
ขอบคุณข่าวจาก ผู้จัดการ
สุดอนาถ! อวนปูพันหางพะยูน ทำจมทะเลกระบี่ตาย ศูนย์ข่าวภูเก็ต - สังเวยอีกแล้ว! พบซากพะยูนเพศเมีย น้ำหนักกว่า 200 กก. ลอยกลางทะเลกระบี่ คาดถูก "อวนปูพันหาง" จนไม่สามารถโผล่ขึ้นมาหายใจจมน้ำตายอย่างอนาถ ![]() สูญเสียไปอีก 1 ตัว พะยูนสัตว์ทะเลหายาก เมื่อมีการการแชร์ภาพพะยูนขนาดใหญ่ลอยตายในทะเลที่ จ.กระบี่ ที่หาง และโคนหาง ถูกเศษอวนพันจนแน่น ทำให้มีการเข้ามาแสดงความคิดเห็น กันจำนวนมากถึงความสูญเสียที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ และเป็นภาพสุดอนาถ โดยเหตุการณ์ครั้งนี้ ทางเจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติหาดนพรัตน์ธารา-หมู่เกาะพีพี ได้รับแจ้งจากผู้ประกอบการเรือหางยาว ชื่อเรือ ช ชนากานต์ 2 ว่า พบพะยูนลอยอยู่กลางทะเล ห่างจากฝั่งประมาณ 600 เมตร หลังโรงแรมกระบี่รีสอร์ท ท้องที่หมู่ที่ 2 ต.อ่าวนาง อ.เมืองกระบี่ จ.กระบี่ ซึ่งอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติหาดนพรัตน์ธารา-หมู่เกาะพีพี หลังรับแจ้งทางเจ้าหน้าที่ได้เข้าไปตรวจสอบ พบว่า เป็นพะยูนเพศเมีย ในสภาพติดอวนปู (เชือกไนลอน และตาข่ายเอ็น) พันโคนหางและปลายหางแน่น วัดขนาดความยาวได้ 210 เซนติเมตร ขนาดรอบตัว 130 เซนติเมตร ขนาดโคนหาง 46 เซนติเมตร น้ำหนักประมาณ 200 กิโลกรัม และจากการตรวจสอบเพิ่มเติมไม่พบบาดแผลอื่นๆ ตามร่างกาย สำหรับจุดที่เกิดเหตุเป็นเส้นทางเคลื่อนย้ายหากินของพะยูน ที่ผ่านมา ทางอุทยานแห่งชาติหาดนพรัตน์ธารา-หมู่เกาะพีพี ได้มีประกาศอุทยานแห่งชาติหาดนพรัตน์ธารา-หมู่เกาะพีพี ฉบับลงวันที่ 11 พฤษภาคม 2567 เรื่อง มาตรการและข้อปฏิบัติในการอนุรักษ์พะยูนและแหล่งหญ้าทะเล โดยห้ามทำการประมงทุกชนิดในพื้นที่แหล่งหญ้าทะเล และ ห้ามมิให้ผู้ใดล่าสัตว์ป่าสงวนหรือสัตว์ป่าคุ้มครอง แต่อาจจะมีกลุ่มบุคคลที่เข้าไปลักลอบวางอวนปูในพื้นที่ดังกล่าว ทำให้พะยูนที่ใช้เส้นทางดังกล่าวในการเคลื่อนย้ายเพื่อไปหากินหญ้าทะเล ติดกับอวนวางปู เมื่อดิ้นเพื่อจะเอาส่วนหางออกจากอวนทำให้อวนยิงรัดแน่น จนไม่สามารถขึ้นมาหายใจบนผิวน้ำได้ และจมน้ำตายในที่สุด ซึ่งพะยูนต้องขึ้นมาหายใจบนผิวน้ำทุก 3-5 นาที อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ทางเจ้าหน้าที่ได้ทำบันทึก พร้อมรวบรวมพยานหลักฐานแจ้งความกล่าวโทษต่อพนักงานสอบสวน สภ.อ่าวนาง เพื่อสืบสวนหาตัวผู้กระทำผิดมาดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป ขณะที่ ทราย สก๊อต นักอนุรักษ์เพื่อทะเลไทย ได้โพสต์ภาพและข้อความผ่านทางเฟซบุ๊ก Psi Scott ? ทราย สก๊อต - Merman มนุษย์เงือก ระบุว่า ?ไม่มีคำบรรยาย นอกจากผิดหวังและมองชัดว่าต้องการการจัดการขยะประมงทะเลเข้มข้นมากกว่านี้ 1.จากต้นทาง (คนวาง + นโยบายจากกรมที่เกี่ยวข้อง ที่ควบคุมการทิ้งการซื้อการวาง ) + 2.สงเสริมงานการจับเก็บจากแนวปะการัง/หาดเรื่อยๆ https://mgronline.com/south/detail/9670000053819
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
![]() |
|
|