![]() |
|
|
|
#1
|
||||
|
||||
|
ขอบคุณข่าวจาก เดลินิวส์
คลิปไวรัล! วาฬสายโหดพุ่งชนเรือ '2 นักตกปลา' หวิดเอาชีวิตไม่รอด นักตกปลาผู้เคราะห์ร้ายสองคนตกเป็นเหยื่อระบายอารมณ์ของวาฬตัวหนึ่งกลางทะเลซึ่งพุ่งชนเรือของพวกเขาจนพลิกคว่ำและคนทั้งสองต้องตกลงไปในน้ำอย่างไม่ทันตั้งตัว ![]() เครดิตภาพ : YouTube /?ABC News วันนี้ (24 ก.ค. 2567) สำนักข่าวต่างประเทศหลายแห่งเผยแพร่ภาพจากคลิปวิดีโอไวรัลซึ่งเป็นภาพเหตุการณ์ที่น่าตกตะลึงของวาฬตัวหนึ่งพุ่งชนเรือตกปลาจนพลิกคว่ำ ทำให้ลูกเรือสองคนต้องตกน้ำอย่างกะทันหัน โคลินและไวแอตต์ ยาเกอร์ พี่น้องวัยรุ่น 2 คน อายุ 16 และ 19 ปีจากรัฐเมนอยู่บนเรืออีกลำหนึ่งที่ลอยลำอยู่ใกล้ ๆ ขณะเกิดเหตุการณ์ดังกล่าวและหนุ่มน้อย 1 ใน 2 คนก็ถ่ายคลิปวิดีโอไว้ได้พอดี? หลังจากที่หนุ่มน้อยทั้งสองโพสต์คลิปวิดีโอลงบนโซเชียลมีเดียเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา คลิปดังกล่าวก็กลายเป็นไวรัล มีผู้แชร์คลิปออกไปเป็นจำนวนมากรวมถึงสำนักข่าวหลายแห่ง โดยมีผู้แชร์คลิปรายหนึ่งที่เขียนข้อความบรรยายเป็นคำเตือนให้ระวัง "วาฬขี้โมโห" ที่อยู่ในทะเลของรัฐนิวแฮมเชียร์ สามารถเรียกยอดเข้าชมได้มากกว่า 4 ล้านครั้ง? โฆษกของหน่วยรักษาการณ์ชายฝั่งสหรัฐระบุว่า เหตุการณ์ในคลิปเกิดขึ้นกลางทะเล ห่างจากแหลมโอเดียร์น เมืองไรย์ รัฐนิวแฮมป์เชียร์ ตอนเช้าวันอังคารที่ผ่านมา หนุ่มวัยรุ่นทั้งสองไม่เพียงเป็นผู้บันทึกภาพเหตุการณ์ระทึกขวัญเอาไว้ แต่พวกเขายังช่วยเหลือนักตกปลาทั้ง 2 คนที่ตกจากเรือลิเวียทันเพราะแรงกระแทกของวาฬไว้ได้อย่างรวดเร็ว? ในตอนแรกสองพี่น้องไม่ได้รู้สึกกังวลเกี่ยวกับวาฬตัวที่ก่อเหตุ เพราะเรือทุกลำที่อยู่แถวนั้น ต่างลอยลำอยู่รอบนอกของฝูงปลาเล็กซึ่งเป็นแหล่งอาหารของวาฬ แต่บังเอิญว่าวาฬตัวในคลิปไวรัลนั้นว่ายเข้าไปใกล้เรือมากเกินไป และเกิดพุ่งชนเรือจนพลิกคว่ำ ทำให้ทุกคนที่เห็นเหตุการณ์ตกใจกันมาก โชคดีที่หลังจากที่นักตกปลาผู้เคราะห์ร้ายทั้งสองได้รับความช่วยเหลือ ก็ไม่พบว่าพวกเขาได้รับบาดเจ็บแต่อย่างใด มีแต่เรือขนาด 23 ฟุตที่พังเสียหายเท่านั้น หลังจากที่มีการเผยแพร่คลิปดังกล่าวออกไปหลายทางก็มีชาวโซเชียลมีเดียเข้ามาแสดงความเห็นเป็นจำนวนมาก โดยมีผู้แสดงความเห็นส่วนหนึ่งชี้ว่าเหตุการณ์นี้น่าจะเป็นเพียงอุบัติเหตุหรือความบังเอิญอันแสนซวยของนักตกปลาทั้งสอง เพราะสังเกตดูแล้ว วาฬในคลิปให้ความสนใจแก่ฝูงปลาที่อยู่ใกล้กับเรือของนักตกปลามากกว่า แต่ในจังหวะที่มันพยายามกินเหยื่อก็บังเอิญไปกระแทกเรือจนพลิกคว่ำ ไม่ใช่การมุ่งโจมตีเรือโดยตรง ส่วนวาฬตัวที่ก่อเรื่องคาดว่าเป็นวาฬมิงค์ซึ่งเป็นสายพันธุ์ที่มีขนาดเล็กของตระกูลวาฬหลังค่อม ที่มา : usatoday.com https://www.dailynews.co.th/news/3679878/
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
|
#2
|
||||
|
||||
|
ขอบคุณข่าวจาก มติชน
อึ้ง! นักวิจัยพบสารโคเคนในฉลาม นอกชายฝั่งแดนแซมบ้า ![]() เครดิตภาพ Pixabay สำนักข่าวบีบีซีรายงานว่า นักชีววิทยาทางทะเลได้ทำการวิเคราะห์ฉลามแหลมบราซิล 13 ตัวที่ถูกจับขึ้นมาจากทะเลนอกชายฝั่งนครรีโอเดจาเนโร ประเทศบราซิล โดยพบว่าพวกมันมีระดับสารโคเคนปริมาณสูงในกล้ามเนื้อและตับ รวมถึงสูงกว่าสัตว์น้ำอื่นๆ ที่เคยตรวจพบสารโคเคนถึง 100 เท่า การวิเคราะห์ดังกล่าวของมูลนิธิออสวัลโด้ ครูซ ถือเป็นครั้งแรกที่มีการพบสารโคเคนในฉลาม ผู้เชี่ยวชาญเชื่อว่าสารโคเคนไหลลงสู่น้ำทะเลผ่านทางห้องปฏิบัติการผิดกฎหมายที่เป็นแหล่งผลิตยาเสพติด หรือของเสียจากร่างกายของผู้ใช้สารเสพติด อีกหนึ่งปัจจัยอาจมาจากการที่ผู้ค้ายาเสพติดทิ้งโคเคนลงทะเล แม้ปัจจัยดังกล่าวจะมีความเป็นไปได้น้อย ซารา โนเวส นักพิษวิทยาทางทะเลจากศูนย์วิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อมและทางทะเลแห่งมหาวิทยาลัยโปลิเทคนิคไลเรีย ประเทศโปรตุเกส บอกกับนิตยสารทางวิทยาศาสตร์ว่า นี่เป็นการค้นพบที่สำคัญมากแต่น่ากังวล ฉลามเพศเมียทุกตัวที่ถูกนำมาวิเคราะห์กำลังตั้งท้องแต่ยังไม่ทราบแน่ชัดว่าการได้รับสารโคเคนจะมีผลกระทบตามมาอย่างไรต่อลูกฉลามในครรภ์ อย่างไรก็ดี ยังต้องมีการศึกษาวิจัยเพิ่มเติมเพื่อสืบค้นว่าสารโคเคนจะสามารถเปลี่ยนพฤติกรรมของฉลามได้หรือไม่ แต่งานวิจัยชิ้นก่อนหน้าชี้ว่าตัวยาต่างๆ มีแนวโน้มที่จะมีผลกับสัตว์เช่นเดียวกับผลต่อมนุษย์ https://www.matichon.co.th/foreign/news_4697788
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
|
#3
|
||||
|
||||
|
ขอบคุณข่าวจาก คม ชัด ลึก
พาชม "อ่าวตะโละวาว" สถานที่ท่องเที่ยวธรรมชาติ อดีตทัณฑสถานนักโทษเด็ดขาด พาชม "อ่าวตะโละวาว" อุทยานแห่งชาติตะรุเตา จังหวัดสตูล สถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติ อดีตอ่าวตะโละวาว เป็นพื้นที่ทางประวัติศาสตร์ในช่วงปี พ.ศ. 2480 - 2490 เคยใช้เป็นสถานที่ตั้งนิคมฝึกอาชีพหรือทัณฑสถาน มีนักโทษกักกันและนักโทษเด็ดขาดอาศัยในพื้นที่แห่งนี้ ![]() "อ่าวตะโละวาว" อุทยานแห่งชาติตะรุเตา จังหวัดสตูล สถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติ และประวัติศาสตร์ที่น่าไปเยือน"อ่าวตะโละวาว" ซึ่งตั้งอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติตะรุเตา จ.สตูล ทางด้านตะวันออกของเกาะตะรุเตา ห่างจากที่ทำการอุทยานแห่งชาติประมาณ 12 กิโลเมตร อดีตอ่าวตะโละวาว เป็นพื้นที่ทางประวัติศาสตร์ในช่วงปี พ.ศ. 2480 - 2490 เคยใช้เป็นสถานที่ตั้งนิคมฝึกอาชีพหรือทัณฑสถาน มีนักโทษกักกันและนักโทษเด็ดขาดอาศัยในพื้นที่แห่งนี้ ปัจจุบันทางอุทยานแห่งชาติตะรุเตาได้จัดทำเส้นทางศึกษาธรรมชาติและประวัติศาสตร์ไว้บริการนักท่องเที่ยวที่สนใจ บริเวณอ่าวตะโละวาว ยังเป็นที่ตั้งของหน่วยพิทักษ์อุทยานแห่งชาติที่ ตต.1 (ตะโละวาว) สะพานท่าเทียบเรือ และอาคารบริการ นอกจากนี้มักพบเห็นโลมาหลังโหนกอยู่บริเวณอ่าวฯ รวมถึงมีป่าชายเลนที่แสดงถึงความอุดมสมบูรณ์ทางธรรมชาติในพื้นที่อีกด้วย ด้วยความที่เกาะตะรุเตาเป็นเกาะที่เต็มไปด้วยประวัติศาสตร์ ในครั้งที่เป็นคุกนรกหรือนิคมฝึกอาชีพของนักโทษกว่า 4,000 ชีวิต และชุกชุมไปด้วยจระเข้กับฉลาม ก่อนความอดอยากช่วงสงครามเอเชียบูรพาจะทำให้ที่นี่กลายเป็นที่มาของตำนานโจรสลัดตะรุเตาผู้โหดร้าย และอ่าวตะโละวาวในระหว่างปี พ.ศ. 2480-2490 ใช้เป็นสถานที่ตั้งนิคมฝึกอาชีพหรือทัณฑสถาน นักโทษเด็ดขาด นักโทษกักกัน ในพื้นที่สามารถพบเห็นแต่มูลดิน ซากปรักหักพังของสิ่งก่อสร้าง และสุสาน 700 ศพ ทางด้านอ่าวตะโละวาวจึงมีเส้นทางศึกษาประวัติศาสตร์กลางป่าทึบสีเขียวชอุ่มที่เต็มไปด้วยสมุนไพรยาวกว่า 1-2 กิโลเมตร ให้ได้เดินสำรวจเรื่องในอดีต โดยจำลองเรือนนักโทษ รูปปั้นผู้คุม ตึกแดง เรือนพยาบาล โรงเลื่อย อู่เรือ สะพานท่าเทียบเรือเก่า ซากรถเข็นวัสดุก่อสร้าง และหอสังเกตการณ์ของผู้คุมไว้ตามจุดต่าง ๆ ตามสถานที่จริงด้วย แต่ปัจจุบันอดีตอันโหดร้ายได้กลายเป็นความงดงามของธรรมชาติไปเรียบร้อยแล้ว หากอยากไปท่องเที่ยวชมธรรมชาติ ร่วมเรียนรู้ประวัติศาสตร์ "อ่าวตะโละวาว" อุทยานแห่งชาติตะรุเตา สามารถสอบถามข้อมูลการท่องเที่ยวเพิ่มเติมได้ที่ ศูนย์บริการนักท่องเที่ยว (ปากบารา) อุทยานแห่งชาติตะรุเตา หมายเลขโทรศัพท์ 074 783485 ที่มา : ส่วนอุทยานแห่งชาติ สํานักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 5 นครศรีธรรมราช https://www.komchadluek.net/kom-lifestyle/travel/580582
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
|
#4
|
||||
|
||||
|
ขอบคุณข่าวจาก ThaiPBS
ระบบเตือนภัย "แบบไทยๆ" ในวันที่โลกไม่เหมือนเดิม ระบบเตือนภัย เป็นส่วนหนึ่งของการบริหารจัดการภัยพิบัติ อยู่ในรูปแบบการบริหารจัดการสาธารณภัย หลายคนตั้งคำถาม วันนี้ประเทศไทยต้องขยับอย่างไร "ระบบเตือนภัย แบบไทยๆ ไหวหรือไม่ ในวันที่โลกไม่เหมือนเดิม" เมื่อโลกเกิดภัยพิบัติหรือภัยธรรมชาติที่มีแนวโน้มทวีความรุนแรงมากขึ้น ![]() ระบบเตือนภัยพิบัติฉุกเฉิน คือ ระบบการเผยแพร่ข้อมูลเตือนภัยพิบัติที่ชัดเจนและทันเวลา เพื่อให้บุคคล ชุมชนและองค์กรที่ถูกคุกคามจากภัยพิบัติอันตราย สามารถเตรียมพร้อมและดำเนินการอย่างเหมาะสมในเวลาที่เพียงพอเพื่อลดความอันตรายหรือความสูญเสีย ระบบเตือนภัยพิบัติที่มีประสิทธิภาพ ประกอบด้วยปัจจัย 4 ประการ ได้แก่ ความสามารถประเมินความเสี่ยง ความสามารถในการตรวจสอบ วิเคราะห์และการพยากรณ์อันตราย ความสามารถในการสื่อสารหรือแพร่กระจายข้อมูลเตือนภัยและความสามารถของท้องถิ่นในการตอบสนองต่อข้อมูลเตือนภัย ธวัฒชัย ปาละคะมาน นักวิชาการด้านการบริหารจัดการภัยพิบัติ ชวนวิเคราะห์กราฟ 2 เส้น บ่งชี้ว่าปัจจุบันโลกกำลังเผชิญความท้าทายกับภัยธรรมชาติที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์สะท้อนว่าทุกครั้งที่อุณหภูมิโลกเพิ่มขึ้นตั้งแต่ 0 องศาเซลเซียส ตั้งแต่ปี 1960 - 2019 จำนวนความถี่การเกิดภัยพิบัติเพิ่มขึ้น ผลการศึกษา ระบุว่า ทุกครั้งที่แนวโน้มของภัยธรรมชาติหรือภัยพิบัติเพิ่มขึ้น ระบบเตือนภัยล่วงหน้าโดยโฉพาะระดับโลกจะได้รับการทบทวน เพื่อปรับระบบยู่เป็นระยะ "ปัจจุบันภัยพิบัติเกิดขึ้นถี่ ต่อเนื่องและเพิ่มความรุนแรงมากขึ้น มี 3 คำที่อยากชวนทำความเข้าใจ คือ "ซับซ้อน" ภัยธรรมชาติปัจจุบันไม่ได้มีแค่อุทกกภัย อัคคีภัย หรือลมพายุ แต่วันนี้มีลักษณะเฉพาะเป็นภัยพี่ภัยน้อง กรณีเหตุแผ่นดินไหว ผู้ประสบภัยอาจไม่ได้เสียชีวิตจากเหตุแผ่นดินไหวโดยตรง แต่ความซับซ้อนทำให้มีความเสี่ยงต่อชีวิต เพราะอาศัยอยู่ในอาคารที่ไม่ปลอดภัย อาคารถล่ม ไฟฟ้าลัดวงจร นี่คือความซับซ้อนของภัย" ธวัฒชัย เผยข้อมูลล่าสุดขององค์การสหประชาชาติ ระบุว่า ครึ่งหนึ่งของประชากรโลกอาศัยอยู่ในพื้นที่เมือง ลองตั้งโจทย์กรณีความซับซ้อนในพื้นที่เมืองกับการจัดการภัยพิบัติ ด้วยคำว่า "เชื่อมร้อย" ภัยพิบัติหนึ่งๆ ที่ถูกเชื่อมร้อยด้วยกัน อย่างการแพร่ระบาดโควิด-19 ที่ผ่านมา สะท้อนให้เห็นว่าโควิด-19 ไม่ใช่ภัยพิบัติจากธรรมชาติแต่เป็นโรคระบาด ที่มีความเชื่อมร้อยกับความบอบบางทางสังคม ทำให้เห็นศักยภาพในการตอบสนองหรือการจัดสรรงบประมาณเพื่อแก้ปัญหาภาครัฐ ระบบการเตือนภัยล่วงหน้า เชื่อมโยงกับการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ หรือ Climate Change ที่ส่งสัญญาณเตือนมนุษย์ว่ากำลังเผชิญสถานการณ์ภัยธรรมชาติที่รุนแรงมากขึ้น ยกตัวอย่างเมื่อเข้าฤดูฝน ปริมาณฝนไม่ได้ตกหนักเหมือนเมื่อ 30 ปีก่อน แต่เป็นลักษณะของฝนที่ตกช่วงเวลาสั้นๆ คือภัยเงียบความรุนแรงที่มนุษย์กำลังเผชิญทุกครั้งที่ภัยธรรมชาติเปลี่ยนแปลง การเตือนภัยล่วงหน้า จึงเป็นส่วนหนึ่งของการบริหารจัดการภัยพิบัติในภาพรวมที่ต้องขยับตามทั้งมาตรฐานการลงทุนงบประมาณ ทำอย่างไรให้ระบบเตือนภัยล่วงหน้า สามารถที่เข้าถึง ตอบสนองและเท่าทันกับการเปลี่ยนแปลงภัยธรรมชาติรูปแบบใหม่ ทิศทางมาตรฐานโลกเปลี่ยนแปลงเร็วขึ้น ย้อนไปปี 1960 ระบบเตือนภัยเน้นลงทุนการพัฒนาระบบที่ใช้คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (radar) เป็นเครื่องมือในการระบุระยะต่างๆ แต่ช่วง 10-20 ปีที่ผ่านมา ระบบเตือนภัยปรับมาตรฐานไม่ต่ำกว่า 3 ครั้ง มีความพยายามนำความรู้ที่หลากหลายอาศัยศาสตร์แบบองค์รวม สร้างระบบเตือนภัยให้คนปลายทางปลอดภัย เพราะสังคมมีความหลากหลายมีกลุ่มคนเปราะบาง ที่ยังเข้าไม่ถึงนวัตกรรมเทคโนโลยี วันนี้ภาครัฐมีระบบเตือนภัยที่เข้าถึงความหลากหลายของประชากรแล้วหรือยัง เกิดการรับรู้มากน้อยแค่ไหน เมื่อส่งการเตือนภัยไปยังบุคคลที่มีความหลากหลายในสังคม "ระบบเตือนภัยของไทยแบบสากล ยึดมาตรฐานโลกกำหนด เพื่อเชื่อมเข้ามาในบริบทพื้นที่ของประเทศไทย ภายใต้ 4 องค์ประกอบที่ทั่วโลกให้ความสำคัญ คือ 1.ระบบตรวจจับทรัพยากร 2.ระบบความรู้ 3.ระบบเตือนภัยต่างๆ เมื่อเกิดหตุวิกฤต และ 4.ศักยภาพในการตอบสนองต่อคำเตือนภัย" ในขณะที่ทั่วโลกขยับตัวอย่างรวดเร็วเพื่อรับมือภัยพิบัติ ย้อนกลับมาที่ประเทศไทย เริ่มมีสิ่งเตือนภัยครั้งแรก หลังเกิดเหตุการณ์สึนามิ มีการออกแบบจัดตั้งหลายศูนย์เตือนภัย รวมถึงศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติที่เป็นศูนย์เตือนภัยหลักของประเทศ แต่ "วันนี้ไหวหรือไม่" คงตอบว่ายังไหวในแบบที่เริ่มจะไม่ไหวแล้ว ด้วยสองเหตุผลคือ 1. ภัยพิบัติเกิดขึ้นและรุนแรงต่อเนื่อง และ 2. มาตรฐานโลกเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา สวนทางกับการปรับตัวการรับมือต่อภัยภิบัติของประเทศไทยที่ค่อนข้างล่าช้า แม้การขับเคลื่อนระบบเตือนภัยประเทศไทยไม่ได้เริ่มจากศูนย์ ที่ผ่านมามีหลายหน่วยงาน แต่เป็นการเน้นเรื่องใดเรื่องหนึ่งเป็นพิเศษ เช่นเรื่องน้ำที่มีไม่ต่ำกว่า 20 หน่วยงาน แต่ระบบเตือนภัยมีความเสี่ยงหลากหลาย ทั้งเหตุแผ่นดินไหว อาคารถล่ม หรือแม้แต่ความแปรปรวนของสภาพอากาศแบบสุดขั้ว ที่ผ่านมาไทยยึดระบบการเตือนภัยของสหรัฐอเมริกาเป็นต้นแบบ แต่วันนี้ทุกหน่วยงานพยายามทำงานบนฐานของตัวเอง แต่ประเทศไทยยังขาดระบบเตือนภัยที่มีประสิทธิภาพ ธวัฒชัย ย้ำว่าประเทศไทยขาดการลงทุนกับระบบการเตือนภัยที่มีประสิทธิภาพ อย่างเวทีการประชุมรัฐภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (United Nations Framework Convention on Climate Change Conference of the Parties: UNFCCC COP) ครั้งที่ 27 จัดขึ้น ณ เมืองชาร์มเอลชีค ประเทศอียิปต์ ระหว่างวันที่ 6-18 พฤศจิกายน 2565 ที่ผ่านมา เวทีโลกให้การยอมรับและมีมติร่วมกันคือ ระบบเตือนภัยล่วงหน้าในปี 2027 ทั่วโลกควรจะมีการลงทุนต่อเนื่องด้านนวัตกรรมเทคโนโลยี ไม่น้อยกว่า 1 แสนล้านบาท เพื่อยกระดับระบบเตือนภัยล่วงหน้า ตามแนวโน้มการเกิดภัยพิบัติที่ต่อเนื่องและรุนแรงขึ้น จากข้อมูลงานวิจัยของ UNDRR หรืองานวิจัยทางเศรษฐศาสตร์ รับรองว่า การลงทุนในระบบเตือนภัยล่วงหน้า สามารถป้องกันความเสียหายทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นจากภัยพิบัติได้ 3 - 10 เท่า เพราะทุกประเทศมีความสำคัญทางเศรษฐกิจ เมื่อเกิดภัยพิบัติแบบฉับพลันโดยที่ไม่มีการแจ้งเตือนล่วงหน้า ขาดการบริหารจัดการภาวะหยุดชะงักของห่วงโซ่ที่มีประสิทธิภาพมากพอ ย่อมนำมาซึ่งความสูญเสียมูลค่ามหาศาล "วันนี้ทิศทางทั่วโลก จับตาการลงทุนพัฒนาการเข้าถึงระบบเตือนภัย โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง ทำอย่างไรให้เกิดความมั่นใจว่าระบบเตือนภัยจะเข้าถึงคนทุกกลุ่มทุกพื้นที่เพื่อมนุษยชาติ ไม่แบ่งเชื้อชาติ ไม่แบ่งแยกประเทศ โดยแนะว่าควรมี 3 ระยะ ที่ต้องให้ความสำคัญอย่างเร่งด่วน คือช่วง 1 - 3 ปีแรก จัดสรรงบประมาณเติมเต็มช่องว่างระหว่างหน่วยงานให้ทุกคนทำงานบนมาตรฐานเดียวกัน ส่วนแผนระยะกลางถึงระยะยาว ตั้งเป้าว่าประเทศไทยควรมีระบบเตือนภัยแบบบูรณาการร่วมกัน เพื่อไม่ให้เกิดการลงทุนที่ซับซ้อน" หมายเหตุ : เรียบเรียงจาก DxC Talk ตอน ระบบเตือนภัยแบบไทยๆ ไหวไหมในวันที่โลกไม่เหมือนเดิม https://www.altv.tv/content/altv-new...0755a803962185
__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า .... |
![]() |
|
|