เลือกสีตามสไลต์ที่คุณชอบ:
SaveOurSea.NET  

กลับไป   SaveOurSea.NET > สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม

 
 
Share คำสั่งเพิ่มเติม เรียบเรียงคำตอบ
Prev คำตอบที่แล้วมา   คำตอบถัดไป Next
  #4  
เก่า 13-09-2024
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,809
Default

ขอบคุณข่าวจาก กรุงเทพธุรกิจ


'หมู่เกาะแปซิฟิก' ร้องศาลให้รับรอง 'การทำลายสิ่งแวดล้อม' เป็น 'อาชญากรรม'
....... โดย กฤตพล สุธีภัทรกุล


KEY POINTS

- วานูอาตู ฟิจิ และซามัว ยื่นคำร้องต่อศาลอาญาระหว่างประเทศ (ICC) ขอเปลี่ยนแปลงกฎระเบียบใหม่ ให้ "อีโคไซด์" (Ecocide) หรือ การทำลายสิ่งแวดล้อมในระดับรุนแรง เป็นอาชญากรรมรุนแรง

- อีโคไซด์ ได้แก่ การรั่วไหลของน้ำมัน การตัดไม้ทำลายป่าในป่าแอมะซอน และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในปริมาณมาก ซึ่งทำให้ระบบนิเวศเสียหายอย่างร้ายแรงและไม่มีวันฟื้นคืนกลับมาให้เหมือนเดิมได้อีกต่อไป

- 72% ของผู้ตอบแบบสอบถามเห็นด้วยว่ารัฐบาลหรือผู้นำของธุรกิจขนาดใหญ่ที่อนุมัติหรืออนุญาตให้มีการกระทำที่สร้างความเสียหายอย่างร้ายแรงต่อธรรมชาติและสภาพอากาศควรได้รับการลงโทษทางอาญาแล้ว




วานูอาตู ฟิจิ และซามัว กลุ่มประเทศในมหาสมุทรแปซิฟิกยื่นคำร้องต่อศาลอาญาระหว่างประเทศ (ICC) เมื่อวันที่ 9 กันยายน 2567 ขอเปลี่ยนแปลงกฎระเบียบใหม่ ให้ "อีโคไซด์" (Ecocide) หรือ การทำลายสิ่งแวดล้อมในระดับรุนแรง เป็นอาชญากรรมรุนแรงระดับ "การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์" และ "อาชญากรรมสงคราม"

หากการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวประสบความสำเร็จจะช่วยให้สามารถดำเนินคดีทางอาญากับบุคคลที่ก่อให้เกิดการทำลายสิ่งแวดล้อม เช่น บริษัทที่ก่อมลพิษปริมาณมาก หรือประมุขของรัฐได้

นี่ถือเป็นการดำเนินการในขั้นแรกเพื่อลดผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยประเทศหมู่เกาะแปซิฟิกมีความเสี่ยงจะจมน้ำมากเป็นพิเศษ เพราะประเทศเหล่านี้ตั้งอยู่ในพื้นที่ต่ำ ซึ่งปัจจุบันการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศทำให้ระดับน้ำทะเลสูงขึ้นและเกิดพายุที่รุนแรงขึ้น ประเทศวานูอาตูเป็นแกนนำในการเสนอข้อเรียกร้องนี้ตั้งแต่ปี 2019

"ความสูญเสียและความเสียหายที่เกิดขึ้นกับสิ่งแวดล้อมและสภาพอากาศในวานูอาตู กำลังทำลายเศรษฐกิจของประเทศ ทำลายดินแดน และคุกคามการดำรงชีพของเรา ดังนั้นการรับรองทางกฎหมายให้อีโคไซด์เป็นอาชญากรรมจะช่วยสร้างความยุติธรรม และที่สำคัญคือ ป้องกันการทำลายล้างสิ่งแวดล้อมเพิ่มเติม"
-ราล์ฟ เรเกนวานู ทูตพิเศษด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศและสิ่งแวดล้อมของวานูอาตูกล่าวในข่าวประชาสัมพันธ์

อาเธอร์ กัลสตัน นักชีววิทยาชาวอเมริกัน เป็นผู้บัญญัติศัพท์นี้ขึ้นในปี 1970 ศาสตราจารย์จากมหาวิทยาลัยเยลรณรงค์ให้หยุดใช้ Agent Orange สารฆ่าวัชพืชและเป็นสารเร่งใบร่วง (defoliant) ในสงครามสารฆ่าวัชพืชที่เรียกว่า ปฏิบัติการแรนช์แฮนด์ (Operation Ranch Hand) ระหว่างสงครามเวียดนาม

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ทนายความด้านสิ่งแวดล้อมระดับนานาชาติได้ผลักดันให้อีโคไซด์เป็นความผิดที่ต้องรับโทษทั่วโลก ตามข้อเสนอที่เสนอต่อศาลอาญาระหว่างประเทศเมื่อวันจันทร์ ได้เสนอให้ศาลอาญาระหว่างประเทศให้คำนิยามของ อีโคไซด์ ว่าเป็น

"การกระทำที่ผิดกฎหมายหรือด้วยความประมาทเลินเล่อที่กระทำโดยรู้ดีว่า มีความเป็นไปได้สูงที่การกระทำนั้นจะก่อให้เกิดความเสียหายต่อสิ่งแวดล้อมอย่างรุนแรงและแพร่หลาย หรือยาวนาน"

ผู้เชี่ยวชาญทางกฎหมายระบุว่า การทำลายสิ่งแวดล้อมในระดับรุนแรง หรือ อีโคไซด์ ได้แก่ การรั่วไหลของน้ำมัน การตัดไม้ทำลายป่าในป่าแอมะซอน และบริษัทเชื้อเพลิงฟอสซิลที่รู้ว่าปล่อยก๊าซเรือนกระจกในปริมาณมาก แต่ก็ไม่ยอมหยุด ซึ่งเหตุการณ์เหล่านี้อาจทำให้ระบบนิเวศเสียหายอย่างร้ายแรงและไม่มีวันฟื้นคืนกลับมาให้เหมือนเดิมได้อีกต่อไป

ทั้งนี้ ศาลอาญาระหว่างประเทศจะต้องมีการหารือละเอียด และการอภิปรายข้อเสนอนี้อาจกินเวลานานหลายปี และจะเผชิญกับการคัดค้านอย่างรุนแรงจากหลายประเทศ แม้ว่าส่วนใหญ่จะเป็นการคัดค้านเบื้องหลังก็ตาม เพราะเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องที่สามารถพูดออกมาต่อต้านอย่างเปิดเผยได้

โจโจ เมห์ตา ผู้ก่อตั้งร่วมของกลุ่มรณรงค์ Stop Ecocide International และผู้สังเกตการณ์ของ ICC กล่าวกับ The Guardian ว่าการเคลื่อนไหวของทั้ง 3 ประเทศนี้ ถือเป็น "ช่วงเวลาสำคัญ" ในการต่อสู้เพื่อให้เกิดการยอมรับว่า อีโคไซด์เป็นอาชญากรรม

เมห์ตากล่าวเสริมว่าในตอนนี้ ยังไม่มีประเทศใดประกาศต่อสาธารณะว่าพวกเขาข้อเสนอนี้ แต่เธอคาดว่าจะมีการต่อต้านและการล็อบบี้อย่างหนักจากธุรกิจที่ก่อมลพิษสูง รวมถึงบริษัทน้ำมัน ซึ่งผู้บริหารอาจต้องถูกดำเนินคดี หากมีการรับรองว่าอีโคไซด์มีความผิด

ฟิลิปป์ แซนด์ส ทนายความระดับนานาชาติและศาสตราจารย์ด้านกฎหมายจากมหาวิทยาลัยคอลเลจลอนดอน ทำหน้าที่เป็นประธานร่วมของคณะผู้เชี่ยวชาญอิสระสำหรับคำจำกัดความทางกฎหมายของอีโคไซด์ ซึ่งจัดขึ้นโดยมูลนิธิ Stop Ecocide เปิดเผยกับ The Guardian ว่าเขา "มั่นใจ 100%" ว่าสุดท้ายแล้ว ศาลจะยอมรับการทำลายสิ่งแวดล้อมในระดับรุนแรง เพียงแต่ไม่รู้ว่าจะเกิดขึ้นเมื่อใด

"ตอนแรกผมค่อนข้างลังเล แต่ตอนนี้ผมเชื่อจริง ๆ แล้ว ว่าต้องมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น เพราะตอนนี้มีบางประเทศได้ใส่เรื่องนี้ไว้ในกฎหมายแล้ว ผมคิดว่านี่เป็นแนวคิดที่ถูกต้องในเวลาที่เหมาะสม"

เบลเยียมเพิ่งประกาศให้อีโคไซด์เป็นอาชญากรรม ขณะที่สหภาพยุโรปได้เปลี่ยนแปลงข้อแนะนำบางอย่างเกี่ยวกับอาชญากรรมระหว่างประเทศเพื่อให้อีโคไซด์เข้าข่ายคุณสมบัติของการกระทำความผิด ส่วนเม็กซิโกก็กำลังพิจารณากฎหมายดังกล่าวเช่นกัน

อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนแปลงกฎของ ICC ไม่ใช่เรื่องที่ทำได้ง่าย เนื่องจากจำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงสนธิสัญญาที่เป็นรากฐานของศาลอาญาระหว่างประเทศ ซึ่งเรียกว่า "ธรรมนูญกรุงโรม" เพื่อรับรองการทำลายล้างระบบนิเวศก่อน และต่อให้รับรองอีโคไซด์แล้ว ก็อาจจะไม่ได้ผลมากนัก เพราะสหรัฐ จีน อินเดีย รัสเซีย และประเทศผู้ปล่อยก๊าซเรือนกระจกรายใหญ่รายอื่น ๆ ไม่ได้เป็นภาคีของ ICC



คนทั่วโลกอยากให้ "อีโคไซด์" เป็นอาชญากรรม

ไม่ใช่แค่ 3 ประเทศนี้เท่านั้นที่อยากให้อีโคไซด์มีความผิดทางอาญา แต่ประชาชนส่วนใหญ่ก็เห็นด้วยเช่นกัน การสำรวจของ Ipsos บริษัทการวิจัยตลาดข้ามชาติ ซึ่งได้รับมอบหมายจาก Earth4All และ Global Commons Alliance (GCA) ทำการสัมภาษณ์ผู้คน 22,000 คนจาก 22 ประเทศ รวมถึงประเทศ G20 จำนวน 18 ประเทศ

พบว่า 72% ของผู้ตอบแบบสอบถามเห็นด้วยว่ารัฐบาลหรือผู้นำของธุรกิจขนาดใหญ่ที่อนุมัติหรืออนุญาตให้มีการกระทำที่สร้างความเสียหายอย่างร้ายแรงต่อธรรมชาติและสภาพอากาศควรได้รับการลงโทษทางอาญาแล้ว ส่วนอีก 59% ยังกล่าวว่าพวกเขากังวลมากเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงของธรรมชาติในปัจจุบัน

ขณะที่ผลสำรวจแสดงให้เห็นว่า 52% รู้สึกว่าชีวิตของพวกเขามีความเสี่ยงต่อสภาพอากาศและสิ่งแวดล้อมมากหรือน้อย ซึ่งหมายความว่าสิ่งเหล่านี้ส่งผลกระทบต่อชีวิตในแต่ละวัน โดย 69% เชื่อว่าโลกใกล้ถึงจุดเปลี่ยนของสภาพอากาศและธรรมชาติแล้ว โดยประชากรในประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ เช่น อินเดีย จีน อินโดนีเซีย เคนยา และตุรกี รู้สึกว่าตนเองสัมผัสกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศมากกว่าคนในยุโรปและสหรัฐอย่างมาก

?ผู้คนทั่วโลกต่างกังวลอย่างมากเกี่ยวกับสภาพของโลกของเรา และพวกเขารู้สึกเจ็บปวดที่รู้ว่าโลกของเรากำลังเดินมาถึงจุดเปลี่ยน เช่นเดียวกับความกังวลว่ารัฐบาลจะให้ความสำคัญอื่นมากกว่าประเด็นด้านสิ่งแวดล้อม? เจน แมดจ์วิก ผู้อำนวยการบริหารของ GCA กล่าว

แม้ว่าท้ายที่สุดแล้วอาจต้องใช้เวลาถึงหนึ่งทศวรรษกว่าที่จะมีคนถูกตั้งข้อหาทำลายล้างระบบนิเวศ แต่ถือเป็นก้าวแรกที่สำคัญในการสร้างบรรทัดฐานของกฎหมายทั่วโลก เพราะปัจจุบันนี้ผู้คนตระหนักถึงภัยคุกคามที่เกิดจากอีโคไซด์มากขึ้น และพวกเขาก็ไม่อยากให้โลกที่อยู่อาศัย

ที่มา: Euro News, The Guardian, The Washington Post


https://www.bangkokbiznews.com/environment/1144373

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
 


กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 01:10


vBulletin รุ่น 3.8.10
สงวนลิขสิทธิ์ ©2000-2025, บริษัท Jelsoft Enterprises จำกัด
Ad Management plugin by RedTyger