เลือกสีตามสไลต์ที่คุณชอบ:
SaveOurSea.NET  

กลับไป   SaveOurSea.NET > สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม

ตอบ
 
Share คำสั่งเพิ่มเติม เรียบเรียงคำตอบ
  #1  
เก่า 03-11-2021
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,879
Default สรุปข่าวทะเลและสิ่งแวดล้อม : วันพุธที่ 3 พฤศจิกายน 2564

ขอบคุณข้อมูลพยากรณ์จาก กรมอุตุนิยมวิทยา


สภาวะอากาศทั่วไป

บริเวณความกดอากาศสูงยังคงแผ่เข้ามาปกคลุมภาคตะวันออกเฉียงเหนือและทะเลจีนใต้ ส่งผลทำให้มีลมตะวันออก และลมตะวันออกเฉียงใต้พัดปกคลุมประเทศไทยตอนบน ในขณะที่มีลมตะวันออกพัดปกคลุมอ่าวไทยและภาคใต้ ประกอบกับมีหย่อมความกดอากาศต่ำปกคลุมบริเวณทางด้านตะวันออกของประเทศมาเลเซีย ลักษณะเช่นนี้ทำให้ประเทศไทยยังคงฝนฟ้าคะนองเกิดขึ้น และมีฝนตกหนักบางแห่งในบริเวณภาคใต้ ขอให้ประชาชนบริเวณภาคใต้ระวังอันตรายจากฝนตกหนักและฝนตกสะสมซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลากได้


กรุงเทพมหานครและปริมณฑล

มีฝนฟ้าคะนองร้อยละ 20 ของพื้นที่ อุณหภูมิต่ำสุด 25-26 องศาเซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 33-35 องศาเซลเซียส ลมตะวันออก ความเร็ว 10-20 กม./ชม.


คาดหมาย

ในช่วงวันที่ 3 - 6 พ.ย. 64 บริเวณความกดอากาศสูงหรือมวลอากาศเย็นที่ปกคลุมประเทศไทยตอนบนและทะเลจีนใต้จะมีกำลังอ่อนลง ทำให้ประเทศไทยตอนบนมีฝนบางแห่ง ประกอบกับมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือและลมตะวันออกพัดปกคลุมอ่าวไทยและภาคใต้ ทำให้ภาคใต้มีฝนตกหนักบางพื้นที่

ส่วนในวันที่ 7 - 8 พ.ย. 64 บริเวณความกดอากาศสูงหรือมวลอากาศเย็นระลอกใหม่จากประเทศจีนจะแผ่ลงมาปกคลุมภาคตะวันออกเฉียงเหนือและทะเลจีนใต้ตอนบน ทำให้บริเวณดังกล่าวจะมีฝนฟ้าคะนองในระยะแรก หลังจากนั้นอุณหภูมิจะลดลงและมีอากาศเย็น ประกอบกับมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือที่พัดปกคลุมอ่าวไทยและภาคใต้ จะมีกำลังแรงขึ้น ทำให้ภาคใต้ยังคงมีฝนตกต่อเนื่องและมีฝนตกหนักบางแห่ง สำหรับคลื่นลมบริเวณอ่าวไทยจะมีคลื่นสูง 1- 2 เมตร ทะเลอันดามันมีคลื่นสูงประมาณ 1 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร ตลอดช่วง


ข้อควรระวัง

ในช่วงวันที่ 3 ? 7 พ.ย. 64 ขอให้ประชาชนบริเวณประเทศไทยตอนบนดูแลรักษาสุขภาพเนื่องจากสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลง ส่วนประชาชนบริเวณพื้นที่เสี่ยงภัยในภาคใต้ควรระวังอันตรายจากฝนตกหนักและฝนที่ตกสะสม ซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลาก ตลอดช่วง






__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #2  
เก่า 03-11-2021
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,879
Default

ขอบคุณข่าวจาก ไทยรัฐ


พัฒนาปัญญาประดิษฐ์เพื่อใช้สื่อสารกับวาฬสเปิร์ม



เป้าหมายแรกของ Project CETI (Cetacean Translation Initiative) คือการรวบรวมชุดการคลิกที่เรียกว่าโคดา (coda) ที่วาฬสเปิร์มใช้ในการสื่อสาร เพื่อเปรียบเทียบแบบจำลองภาษาและทำนายผลการเรียนรู้เชิงลึกเกี่ยวกับการที่วาฬสเปิร์มสื่อสารกัน

เมื่อเร็วๆนี้ ทีมนักวิทยาศาสตร์ตั้งเป้า หมายว่าจะใช้ Project CETI เพื่อถอดรหัสและสื่อสารกับวาฬสเปิร์ม ด้วยการใช้ปัญญาประดิษฐ์ หรือเอไอ (Arti ficial Intelligence-AI) โดยหวังจะทำความเข้าใจภาษาของวาฬสเปิร์ม และสิ่งที่ต้องทำคือถอดรหัสเสียงคลิก หรือโคดา ผ่านการประมวลผลภาษาธรรมชาติ (Natural language processing-NLP) ทีมนักวิทยาศาสตร์เผยว่าดูเหมือนการทำงานจะเป็นไปได้ดีและค่อนข้างง่าย ทว่าก็มีอุปสรรคใหญ่อย่างหนึ่งคือพวกเขายังต้องการข้อมูลโคดาจากวาฬอีกเป็นจำนวนมาก

ทั้งนี้ หาก Project CETI บรรลุภารกิจที่ยากลำบากเหล่านี้ ก็มีความเป็นไปได้ที่แบบจำลองภาษาจะสามารถพัฒนาการสื่อสารกับวาฬได้มากขึ้น รวมถึงอาจเปลี่ยนแปลงวิธีที่มนุษย์รับรู้และปฏิบัติต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดความเคารพต่อโลกและสิ่งมีชีวิตอื่นๆมากขึ้น.


https://www.thairath.co.th/lifestyle/life/2233392

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #3  
เก่า 03-11-2021
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,879
Default

ขอบคุณข่าวจาก โพสต์ทูเดย์


Net Zero คืออะไร ทำไมถึงสำคัญกับโลกและมนุษย์


Photo by GREG BAKER / AFP

Net Zero เป็นประเด็นใหญ่ที่กำลังได้รับความสนใจทั่วโลก รวมทั้งในการประชุมสมัชชาประเทศภาคีอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ ครั้งที่ 26 (COP26) ซึ่งจัดขึ้นที่เมืองกลาสโกว์ สกอตแลนด์ในขณะนี้
ภายใต้ข้อตกลงปารีส 2015 สมาชิกองค์การสหประชาชาติ 197 ประเทศบรรลุข้อตกลงแก้ปัญหาการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศด้วยการยับยั้งไม่ให้อุณหภูมิโลกเพิ่มขึ้นเกิน 2 องศาเซลเซียส และถ้าเป็นไปได้จะควบคุมไม่ให้เกิน 1.5 องศาเซลเซียส ซึ่งบรรดาผู้เชี่ยวชาญบอกว่าเพื่อให้บรรลุเป้าหมายนี้ นานาประเทศต้องลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยเฉพาะก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ให้ได้เกือบครึ่งหนึ่งภายในปี 2028 และให้เหลือศูนย์ (Net Zero) ภายในปี 2050


Net Zero คืออะไร

Net Zero คือ การไม่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกสู่ชั้นบรรยากาศเพิ่มเติม หมายความว่าเราต้องทั้งลดการปล่อยก๊าซให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ และทั้งกำจัดก๊าซในปริมาณที่เทียบเท่ากันกับการปล่อยที่เกิดขึ้น

คำว่า Net Zero มีความสำคัญกับโลกและมนุษย์เรามาก เพราะหากมีก๊าซเรือนกระจกโดยเฉพาะอย่างยิ่งคาร์บอนไดออกไซด์น้อยลงโอกาสที่จะหยุดยั้งภาวะโลกร้อนก็เพิ่มมากขึ้น

แต่ไม่ได้หมายความว่าเมื่อเราหยุดปล่อยก๊าซแล้วภาวะโลกร้อนจะหายไปทันที เพราะคาร์บอนไดออกไซด์ที่มนุษย์ปล่อยไปนับล้านๆ ตันก่อนหน้านี้ยังคงอยู่ในชั้นบรรยากาศและดูดซับความร้อนไว้อีกหลายต่อหลายปี


จะกำจัดคาร์บอนไดออกไซด์อย่างไร

การลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ให้เหลือศูนย์ให้ทันภายใน 30 ปีเป็นเรื่องยากมาก เพราะไม่ใช่การปล่อยทุกประเภทจะลดให้เหลือศูนย์ได้ ดังนั้นจึงต้องมีการชดเชยปริมาณก๊าซที่เหลือตกค้างอยู่ ไม่ว่าจะเป็นการปลูกต้นไม้ซึ่งเป็นแหล่งกำจัดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์แบบดั้งเดิม

แต่วิธีนี้ยังมีคำถามอยู่ว่าจะมีพื้นที่เพาะปลูกเพียงพอหรือไม่ อีกทั้งการปลูกต้นไม้ยังต้องใช้เวลานาน และนักวิทยาศาสตร์บางรายยังห่วงว่าเราอาจต้องการน้ำมากขึ้นในการปลูกต้นไม้ซึ่งอาจก่อปัญหาอื่นตามมาอีก

หรือการใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยอย่างเทคโนโลยีดักจับและกักเก็บคาร์บอนไดออกไซด์ (carbon capture and storage) คือการใช้เครื่องจักรดักจับคาร์บอนไดออกไซด์ออกจากอากาศ แล้วทำให้เป็นของแข็ง จากนั้นนำไปฝังใต้ดินหรือแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆ อาทิ ก้อนหิน

อย่างไรก็ดี เทคโนโลยีนี้ยังใหม่ ยังไม่ได้รับการพิสูจน์ และมีราคาสูงมาก คาดว่าต้องใช้เงินอย่างน้อย 600 เหรียญสหรัฐ หรือ 19,957 บาทต่อตัน ความท้าทายอีกอย่างหนึ่งคือ ในอากาศมีก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เพียง 0.04% เท่านั้น การดักจับก๊าซออกมาจากอากาศจึงจำเป็นต้องใช้พลังงานจำนวนมาก

ผู้เชี่ยวชาญหลายคนเผยว่า การแก้ปัญหาด้วยวิธีธรรมชาติก็สำคัญแต่ว่ายังไม่เพียงพอ ขณะที่ปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในขณะนี้ก็เกินกำลังที่เทคโนโลยีที่มีอยู่จะกำจัดได้หมด

ยกตัวอย่างเครื่องดักจับคาร์บอนไดออกไซด์ Orca ในไอซ์แลนด์ที่เกิดจากความร่วมมือของ Climeworks บริษัทดักจับคาร์บอนไดออกไซด์จากสวิส กับ Carbfix ของไอซ์แลนด์ที่เชี่ยวชาญด้านการเปลี่ยนคาร์บอนไดออกไซด์ให้เป็นก้อนหิน สามารถดักจับก๊าซได้เพียงปีละ 4,000 ตัน ขณะที่มนุษย์ปล่อยก๊าซหลายหมื่นล้านตัน

นอกจากนี้ ยังเป็นที่ถกเถียงกันถึงวิธีการที่บางประเทศจะใช้เพื่อให้บรรลุเป้าหมาย Net Zero อาทิ ประเทศ ก.อาจลดการปล่อยก๊าซได้มหาศาลหากสั่งปิดอุตสาหกรรมที่ก่อให้เกิดก๊าซเรือนกระจก เช่น การผลิตเหล็ก แต่หากประเทศ ก.สั่งนำเข้าเหล็กจากประเทศ ข. หลังปิดโรงงานของตัวเอง ประเทศ ก.เพียงส่งต่อการปล่อยก๊าซของตัวเองไปให้ประเทศ ข. ซึ่งไม่ได้ลดปริมาณก๊าซเรือนกระจกในภาพรวมเลย

อีกหนึ่งหนทางคือ การให้ประเทศร่ำรวยชดเชยการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ของตัวเองด้วยการจ่ายเงินให้ประเทศยากจน เพื่อให้ประเทศยากจนเปลี่ยนมาใช้พลังงานสะอาด แต่ก็จะมีปัญหาตามมาอีกว่าประเทศร่ำรวยไม่ต้องการควักกระเป๋าก้อนใหญ่ ส่วนประเทศยากจนอาจเรียกร้องให้ประเทศร่ำรวยจ่ายเงินเพิ่มขึ้น หรืออาจมองได้ว่าวิธีนี้จะทำให้ทั้งประเทศยากจนและประเทศร่ำรวยไม่แก้ปัญหาของตัวเองอย่างจริงจัง

สุดท้ายเราอาจไม่สามารถบรรลุเป้าหมาย Net Zero แล้วต้องกอดคอกันเดินไปสู่จุดที่ไม่สามารถแก้ไขอะไรได้อีกแล้ว


https://www.posttoday.com/world/667102

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #4  
เก่า 03-11-2021
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,879
Default

ขอบคุณข่าวจาก โพสต์ทูเดย์


โลกร้อนใกล้ตัวกว่าที่คิด หาก COP26 ล้มเหลวหลายเมืองจะต้องจมน้ำ

หลายพื้นที่บนโลกกำลังจะจมอยู่ใต้น้ำเพราะวิกฤตการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ



นักวิทยาศาสตร์กล่าวว่า ทุกๆ เศษเสี้ยวของระดับความร้อนที่เพิ่มขึ้น โลกจะต้องเผชิญกับคลื่นความร้อนและความแห้งแล้งที่รุนแรงมากขึ้น ระดับน้ำทะเลสูงขึ้น รวมถึงภัยพิบัติอย่างน้ำท่วม ไฟป่า พายุฝนฟ้าคะนองที่อันตรายมากขึ้นด้วย

รายงานระบุว่า ประเทศกำลังพัฒนาเป็นกลุ่มเสี่ยงที่สุดต่อความเสียหายที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ไม่ว่าจะเป็นน้ำท่วม ภัยแล้ง และไฟป่า เนื่องจากโดยส่วนใหญ่แล้วประเทศเหล่านี้เป็นประเทศเกษตรกรรม ให้ความสำคัญกับการเพาะปลูกและผลผลิตทางการเกษตร ซึ่งจำเป็นต้องพึ่งพาสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติ แต่มีเงินในการบรรเทาทุกข์จากภัยพิบัติน้อยกว่าประเทศร่ำรวย

ภัยคุกคามเหล่านี้มีแนวโน้มที่จะทวีความรุนแรงมากขึ้นหากโลกยังลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างเร่งด่วน ซึ่งธารน้ำแข็งมีความอ่อนไหวอย่างยิ่งต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ธารน้ำแข็งกำลังค่อยๆ หายไปขณะที่ทะเลสาบใหม่ขนาดใหญ่กำลังปรากฏขึ้น

การประชุม COP26 ถูกมองว่าเป็น "ความหวังสุดท้าย" ของการบรรลุเป้าหมายควบคุมอุณหภูมิโลกเฉลี่ยไม่ให้เพิ่มขึ้นเกิน 1.5 องศาเซลเซียสเหนือระดับก่อนยุคอุตสาหกรรม เพราะอุณหภูมิที่เพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อยกำลังทำให้ธารน้ำแข็งหมดไป ความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นของภัยธรรมชาติกำลังแฝงตัวอย่างเงียบๆ

วารสาร Nature ตีพิมพ์บทความที่พบว่าการละลายของธารน้ำแข็งของโลกมีความเร็วเพิ่มขึ้นเกือบ 2 เท่าในช่วง 20 ที่ผ่านมา

โดย Alok Sharma สมาชิกรัฐสภาแห่งสหราชอาณาจักร กล่าวว่า หลายพื้นที่บนโลกจะจมอยู่ใต้น้ำแม้ว่า COP26 จะบรรลุเป้าหมายด้านสภาพอากาศก็ตาม

รายงานของคณะกรรมการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศปี 2019 ระบุว่าตั้งแต่ 2006 ถึง 2015 ระดับน้ำทะเลในมหาสมุทรเพิ่มขึ้น 3.3 มิลลิเมตรต่อปี ขณะที่นักวิทยาศาสตร์ด้านภูมิอากาศและนักสมุทรศาสตร์หลายคนเชื่อว่าสาเหตุที่น้ำทะเลเพิ่มขึ้นเร็วขนาดนี้มาจากพืดน้ำแข็งที่ละลายในกรีนแลนด์

หากโลกไม่ควบคุมอุณหภูมิเฉลี่ยให้เพิ่มขึ้นต่ำกว่า 2 องศาเซลเซียส จะส่งผลให้แผ่นน้ำแข็งขั้วโลกที่เหลือละลายไปมากกว่านี้ และทำให้ระดับน้ำทะเลสูงขึ้นไปอีก

โดยคณะกรรมการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (IPCC) คาดการณ์ว่าระดับน้ำในมหาสมุทรทั่วโลกโดยเฉลี่ยอาจเพิ่มขึ้นถึง 84 เซนติเมตรในระหว่างปี 2019 ถึง 2100 ขณะที่หลายพื้นที่มีความเสี่ยงว่าจะต้องจมอยู่ใต้น้ำ

ทีมนักวิจัยจากสถาบันวิจัย Deltares พบว่า ประเทศในแถบพื้นที่ราบลุ่มเสี่ยงต่อระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้น และพื้นดินมีแนวโน้มที่จะจมเนื่องจากการทรุดตัว อาทิ ไทย อินโดนีเซีย เวียดนาม และฟิลิปปินส์ ซึ่งหมายความว่าประชาชนจำนวนมากในประเทศเหล่านี้อาจต้องเผชิญภัยพิบัติที่รุนแรงมากขึ้นจากการเพิ่มขึ้นของระดับน้ำทะเล ซึ่งมีแนวโน้มเลวร้ายลงอันเนื่องมาจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ

งานศึกษาบางชิ้นระบุว่า กรุงเทพฯ เวนิส และนิวออร์ลีนส์ เป็น 3 เมืองที่อัตราการจมสูงกว่าอัตราการเพิ่มของระดับน้ำทะเลถึง 10 เท่า


ไทย

? จังหวัดกรุงเทพมหานคร ก็เป็นอีกหนึ่งเมืองที่ติดโผมีความเสี่ยงที่จะจมน้ำ โดยจากการศึกษาในปี 2020 พบว่ากรุงเทพฯ อาจเป็นเมืองที่ได้รับผลกระทบระยะสั้นจากภาวะโลกร้อนรุนแรงที่สุด เนื่องจากอยู่สูงจากระดับน้ำทะเลเพียง 1.5 เมตร นอกจากนี้ยังมีพื้นดินเป็นดินเหนียวที่มีความหนาแน่น ทำให้มีแนวโน้มที่จะเกิดน้ำท่วมมากขึ้น

? ปัจจุบันกรุงเทพกำลังเผชิญกับความท้าทาย 2 ประการ คือระดับน้ำทะเลที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และแผ่นดินที่กำลังทรุดตัวลงทุกปีๆ เนื่องจากพื้นที่ของเรานั้นตั้งอยู่บนที่ลุ่มมาก่อนในอดีต นั่นแปลว่าชั้นดินข้างล่างนั้นเป็นดินอ่อนที่ไม่แข็งแรง ซึ่งนอกจากการเสื่อมสภาพตามธรรมชาติเองแล้ว การสูบน้ำบาดาล และการเติบโตของเมืองยิ่งส่งผลให้แผ่นดินกรุงเทพทรุดตัวเร็วขึ้น

? อาคารสูงกว่า 5,000 แห่ง, รถยนต์กว่า 9 ล้านคัน ถนน และระบบรางขนส่งมวลชนทั้งหลายทั้งปวงเหล่านี้ล้วนมีส่วนเกี่ยวข้องกับปัญหาทั้งสิ้น


เวียดนาม

? เมืองโฮจิมินห์ ของเวียดนาม มีความเสี่ยงที่จะจมน้ำหรือได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมมากกว่าครึ่งหนึ่งของเมือง ซึ่งจะส่งผลให้ประชากรรวม 1 ใน 4 ของประเทศได้รับผลกระทบ

? ขณะที่เวียดนามตั้งเป้าที่จะปล่อยคาร์บอนเป็นศูนย์ภายในปี 2050 และจะดำเนินการตามแผนเพื่อลดพลังงานถ่านหินทันทีหลังการประชุม COP26


อินเดีย

? เมืองโกลกาตา เมืองหลวงของรัฐเบงกอลตะวันตกของอินเดีย และป่าชายเลนซุนดาบันส์ที่ทอดยาวจากทางตะวันออกของอินเดียไปยังประเทศเพื่อนบ้านในบังคลาเทศ มีความเสี่ยงที่จะจมอยู่ใต้น้ำ ซึ่งจะส่งผลให้ชาวบ้านต้องสูญเสียบ้านเรือนและอาชีพเพาะปลูก เนื่องจากระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้น และน้ำเค็มที่ไหลเข้าสู่พื้นที่ทำให้ดินไม่เหมาะสำหรับการเพาะปลูก

? ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีนเรนทรา โมดี ผู้นำอินเดีย กล่าวในที่ประชุม COP26 ว่าจะหันไปพึ่งพาพลังงานสะอาดแทนการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล และจะปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ภายใน 49 ปีข้างหน้า


ไอร์แลนด์

? รัฐบาลไอร์แลนด์ได้ตั้งเป้าหมายในการลดก๊าซเรือนกระจกให้เป็นศูนย์ภายในปี 2050 ท่ามกลางการคาดการณ์ว่าพื้นที่บางส่วนของไอร์แลนด์ รวมถึงกรุงดับลิน อาจอยู่ใต้น้ำในเวลาเพียง 10 ปี

? เมื่อมีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสู่ชั้นบรรยากาศมากขึ้น อุณหภูมิก็จะสูงขึ้นเนื่องจากความร้อนจากดวงอาทิตย์ไม่สามารถระบายออกไปได้ นำไปสู่การละลายของแผ่นน้ำแข็งอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้ระดับน้ำทะเลสูงขึ้นซึ่งคุกคามแนวชายฝั่งขนาดใหญ่ของดับลิน

? โดย 5 พื้นที่เสี่ยงน้ำท่วมรุนแรงที่สุดในทศวรรษหน้า ได้แก่ Bull Island, Sandymount, Irishtown, Clontarf และ Portmarnock


มัลดีฟส์

? หลายปีที่ผ่านมา การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเป็นภัยคุกคามต่อมัลดีฟส์อย่างยิ่ง ซึ่งระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้นกำลังทำให้บางเกาะในหมู่เกาะจมลงใต้ทะเล และนักวิทยาศาสตร์คาดการณ์ว่าภัยพิบัตินี้อาจเกิดขึ้นภายในทศวรรษหน้า

? รายงานระบุว่า ในปีที่ผ่านมาเพียงปีเดียวระดับน้ำทะเลมัลดีฟส์เพิ่มขึ้น 3 ถึง 4 มิลลิเมตร อันเป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ หมายความว่าในระยะเวลา 10 ปี หมู่เกาะที่มีพื้นราบเหล่านี้สามารถจมสู่ใต้น้ำได้อย่างสมบูรณ์

? นอกจากนี้ เมื่ออุณหภูมิของน้ำทะเลสูงขึ้นยังส่งผลให้แนวปะการังตาย ซึ่งส่งผลเสียต่อมัลดีฟส์เป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากแนวปะการังเป็นพื้นฐานของชีวิตในมัลดีฟส์ ประเทศที่อยู่กลางมหาสมุทรอินเดีย

ยังมีอีกหลายเมืองที่ถูกมองว่ามีความเสี่ยงที่จะต้องจมอยู่ใต้น้ำ โดยคาดการณ์จากการเพิ่มขึ้นของระดับน้ำทะเลในปัจจุบัน อาทิ เวนิส อิตาลี, อัมสเตอร์ดัม เนเธอร์แลนด์, บาสรา อิรัก, จอร์จทาวน์ กายอานา และนิวออร์ลีนส์ สหรัฐอเมริกา

องค์การอุตุนิยมวิทยาโลก (WMO) หน่วยงานด้านสภาพอากาศของสหประชาชาติ (UN) ยังได้ออกคำเตือนว่าปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศขณะนี้กำลังจะทำให้ภูเขาน้ำแข็ง 3 แห่งสุดท้ายในแอฟริกาละลายหายไปภายใน 20 ปีข้างหน้า เป็นสัญญาณของภัยคุกคามจากการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศของโลกที่ไม่อาจย้อนกลับได้

ที่มา: CNBC, WIONews, The Sun, Time Out, Dublin Live


https://www.posttoday.com/world/667097

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
  #5  
เก่า 03-11-2021
สายน้ำ's Avatar
สายน้ำ สายน้ำ is offline
Senior Member
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 12,879
Default

ขอบคุณข่าวจาก สำนักข่าวไทย


เร่งกู้ตู้สินค้า-ล้อมน้ำมันหลายตันไม่ให้ไหลลงเจ้าพระยา



สมุทรปราการ 2 พ.ย.-เหตุเรือบรรทุกสินค้าชนกันกลางเจ้าพระยาหน้าศาลากลางจังหวัดสมุทรปราการ เจ้าหน้าที่กำลังเร่งกู้ตู้สินค้า พร้อมล้อมน้ำมันหลายตันที่มีอยู่ในเรือไม่ให้รั่วลงแม่น้ำ

กรณีช่วงสายวันนี้เกิดเหตุเรือบรรทุกตู้คอนเทนเนอร์ 2 ลำ หลุดร่องน้ำชนกันกลางแม่น้ำเจ้าพระยา หน้าศาลากลางจังหวัดสมุทรปราการ ทำให้ทั้งตำรวจน้ำ และเจ้าท่าสมุทรปราการ ต้องเร่งตรวจสอบและเชิญผู้เกี่ยวข้องของเรือทั้ง 2 ลำไปสอบสวน และเบื้องต้นทราบว่า ก่อนเกิดเหตุเรือทั้ง 2 ลำ แล่นสวนมาทางกันมาตามแม่น้ำเจ้าพระยา โดยทางเรือชื่อ โอ.พี.เค 3 เดินทางออกเดินทางจากท่าเทียบเรือกรุงเทพ กำลังแล่นมุ่งหน้าไปท่าเรือแหลมฉบัง ส่วนเรืออีกลำที่ชื่อ เอ็น พี ปทุมธานี ได้ออกเดินทางจากท่าเรือแหลมฉบัง มุ่งหน้าไปท่าเรือคลองเตย แต่เมื่อมาถึงช่วงบริเวณหย้าศาลากลางจังหวัดสมุทรปราการ เรือเอ็น พี ปทุมธานี ได้ชนเข้ากับกราบซ้ายเรือโอ.พี.เค 3 ทำให้เกิดรอยแตกขนาด 1?1 เมตร ลึก 2 เมตร เรือโอ.พี.เค 3 จึงต้องรีบนำเรือเข้าเกยตื้นริมแม่น้ำเจ้าพระยาฝั่งองค์พระสมุทรเจดีย์ เพื่อเร่งระบายน้ำออกจากท้องเรือ ซึ่งเบื้องต้นไม่มีใครได้รับบาดเจ็บ หรือเสียชีวิต จากอุบัติเหตุนี้ ส่วนเรือเอ็น พี ปทุมธานี เสียหายเล็กน้อย ที่บริเวณส่วนหัวเรือ และจอดทอดสมออยู่ห่างออกไปราว 200 เมตร



ส่วนการเก็บกู้เรือ ตำรวจน้ำและเจ้าท่าสมุทรปราการ ได้ประสานชุดเก็บกู้เรือของเอกชน ที่มีความชำนาญเฉพาะทางเข้ามาเก็บกู้ตู้คอนเทนเนอร์จำนวน 51 ตู้ ของเรือโอ.พี.เค 3 รวมถึงประสานขอทุ่นลอยดักน้ำมันมาล้อมเรือที่ประสบอุบัติเหตุ เพื่อป้องกันคราบน้ำมันของเรือที่มีหลายตัน ลอยกระจายไปตามแม่น้ำเจ้าพระยาออกสู่อ่าวไทย

โดยนายภูริพัฒน์ ธีระกุลพิศุทธิ์ รองอธิบดีด้านความปลอดภัย กรมเจ้าท่า กล่าวว่าได้กำชับให้เจ้าของเรือเร่งกู้เรือและตู้สินค้าที่ส่วนใหญ่เป็นสินค้าเกษตร ให้แล้วเสร็จภายใน 3 วัน และสั่งการให้เรือทุกลำที่จะใช้เส้นทางผ่าน ต้องใช้ความระมัดระวังสูงสุด ในส่วนน้ำมันของเรือที่มีจำนวนหลายตัน ตอนนี้ใช้ทุ่นล้อมเรือ เพื่อไม่ให้น้ำมันรั่วไหลลงแม่น้ำแล้ว คาดเปิดทางเดินเรือปกติได้ภายในวันพรุ่งนี้ (3 พ.ย.).


https://tna.mcot.net/region-815256

__________________
การเมืองไม่ยุ่ง มุ่งแต่รักษ์ทะเลไทยจ้า ....
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
ตอบ


กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 05:17


vBulletin รุ่น 3.8.10
สงวนลิขสิทธิ์ ©2000-2024, บริษัท Jelsoft Enterprises จำกัด
Ad Management plugin by RedTyger